บันทึกนี้ ขอเป็นบันทึกเบาๆสนุกๆ ที่อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เป็นสาระอะไรเท่าใด คงไม่ผิดกติกานัก โดยจะขอเขียนเกี่ยวกับ ของเล่นชิ้นใหม่ของตัวเอง คือพวก Social Networking websites ต่างๆ เช่น Twitter และ Facebook ซึ่งจริงๆก็ไม่ใหม่อะไรนัก ไปเริ่มเป็นสมาชิกตั้งแต่ต้นปี 2551 แต่เขียนบ้างไม่เขียนบ้าง สุดท้ายทิ้งร้างไว้เสียนาน
จนกระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว มาเริ่มเข้าไปเขียน เข้าไปตามคนหลายๆคนที่ชื่นชอบ ต่อมาTwitter ดังเป็นพลุแตกเมื่อประมาณปลายเดือนกรกฏาคมนี้เอง เมื่อท่านนายกฯคนปัจจุบัน และท่านอดีตนายกฯ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อความกัน เรื่องการอวยพรวันเกิด
ตั้งแต่นั้นมา จึงได้เข้าไปเขียน
ไปตามคนต่างๆที่สนใจมากขึ้น
ซึ่งโดยมากจะเป็นการติดตามข่าวสารต่างๆ ที่ยอมรับว่า
เร็วมาก
จริงๆ
Social Media ก็คือSubset ของ New Mediaนั่นเอง
ต้องมีการพูดคุยปฏิสัมพันธ์กัน New Media
เป็นการสื่อสารในรูปแบบของ digitalเช่น website, blog, CD
หรือ VDO ส่วน Blog จะเป็น Social Media หรือ ไม่ ขึ้น
อยู่กับเงื่อนไขที่วา Blog นั้น มีการปฎิสัมพันธ์กันหรือไม่
ถ้าไม่เกิดการปฏิสัมพันธ์กันเลย ก็ไม่น่าถือเป็น social
media
Social Networking ที่ชื่อว่า
Twitter และ Facebook นี้
เป็นเครื่องมือของบุคคลและองค์กรต่างๆทั้งที่แสวงหาหรือไม่ได้แสวงหากำไร
เพื่อการประชาสัมพันธ์ การทำการตลาด
เป็นช่องทางใหม่ๆ ในการเข้าถึงลูกค้า เสียเป็นส่วนใหญ่
นอกจากจะเป็นการพูดคุยสื่อสารระหว่างสมาชิก อย่างไม่เป็นทางการแล้ว
สำหรับTwitter
เกิดขึ้นจากการที่ Jack
Dorsey เกิดมี idea
ที่อยากจะรู้ว่าเพื่อนๆเขากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ
นี่เป็นจุดเริ่มของTwitter โดยได้รับเงินทุนจาก
Obvious, a creative environment in San Francisco,
CA เขาเริ่มทดลองโปรแกรมนี้เมื่อ March 2006
และเปิดตัวสู่สาธารณชนเมื่อ August of 2006
ปราากกฏว่า
ได้รับความนิยมอย่างมากในวลาอันรวดเร็วเพราะความเรียบง่ายของการเล่น
การส่งตัวอักษรแค่140 ตัวอักษร สามารถส่งผ่านมือถือเป็น
instant messageก็ยงได้
จนคณะผู้ริเริ่มตัดสินใจจัดตั้งเป็นบริษัทTwitter
Incorporatedเมื่อ May 2007 ปัจจุบัน
นอกจากนั้น
ก็เป็นเรื่องของการเสนอข่าวแทบจะทุกสำนักข่าว
และเป็นช่องทางการวิพากษ์ วิจารณ์
การจับกลุ่มหาแนวร่วมหรือการแสดงออกทางการเมืองอย่างคึกคัก
รวมทั้งการสื่อสารระหว่างเพื่อนฝูงต่างๆ
ตัวอย่างธุรกิจที่นำ Twitter
มาใช้ในการทำประชาสัมพันธ์ เช่น dtac_feelgoood
ส่งเรื่องราวน่ารักๆ เป็นกันเองสบายๆ ตาม Concept Feel Good
/SonyThailand กิจกรรมของทาง Sony มีเกมส์
และส่วนลดต่างๆ /MajorGroup เรื่องราวของหนัง
และกิจกรรมต่างๆ ของทาง Major / SBC_PR
ร้านหนังสือ ซีเอ็ด บุ๊ก โปรโมชั่นหนังสือ
/kasikornbank_ กิจกรรมของทาง ธนาคารกสิกรไทย
/lhhome กิจกรรมดีๆ ทิปเกี่ยวกับบ้านของ Land and
House เป็นต้น
ซึ่งดูๆไป Social Networking ก็เหมือนกับเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าพิจารณาอีกที ก็ต้องระวังพอควรทีเดียว ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องราวส่วนตัวบางอย่างที่ไม่ควรนำมาเขียน การเขียนความเห็นต่างๆบางที ก็ใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไปมากเกินจนเป็นการนินทาว่าร้าย
มีคนเล่าว่า มีการนำความลับทางการค้าของบริษัทตนเองมาเปิดเผยด้วย แต่ก็ยังไม่เคยเจอด้วยตัวเองสักที ถ้าไม่เอาความลับมาเปิดเผย แค่พนักงานเขียนข้อความสั้นๆ ไว้ใน Facebook หรือ Twitter ว่า "การเมืองภายในบริษัท............... ตีกันให้ยุ่ง" ข้อความสั้นๆนี้ แม้ไม่มีเจตนาร้ายต่อองค์กร แต่เมื่อแพร่กระจายไปในสังคมออนไลน์แล้ว ผลเสียก็ตกอยู่ที่ตัวองค์กรอย่างเลี่ยงไม่ได้
สำหรับความเห็นส่วนตัว
คุณสมบัติที่ชอบและใช้ประโยชน์มากที่สุดใน
Twitter คือการเป็นเครื่องมือในการกระจายข่าวมากกว่า
ลักษณะการเป็นชุมชนออนไลน์ เพราะตนเอง ชอบอยู่วงนอก มากกว่าจะอยู่ในวงใน
แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะเข้าไปรวมกลุ่มอยู่กับคนที่มีความคิดเห็นหรือมีความสนใจที่คล้ายๆกัน
ปัจจุบัน
Twitterได้กลายเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่ร้อนแรงที่สุดในปี2009นี้
การโพสข้อความในทวิตเตอร์
ช่วยฝึกฝนในด้าน“ศิลปะการเล่าเรื่อง”ที่ต้องให้น่าสนใจ
แต่สั้นกระชับภายใน 140 ตัวอักษร
บรรดาองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น Wall Street Journal หรือ BusinessWeek หรือ
Financial Times หรือแม้กระทั่ง
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ/ คม ชัด ลึก / ไทยโพสต์
ก็ใช้ Twitter กันอย่างทั่วถึง
โดยเป็นลักษณะของการส่งข่าวล่าสุดหรือข้อความสั้นๆ ไปยังผู้ที่ติดตาม
พร้อมทั้งมีลิงค์เชื่อมต่อไปยังหน้าเว็บ
เพื่อที่จะได้อ่านข่าวละเอียดได้
ก็ถือว่าเป็นอีกกลไกหนึ่งของสื่อสารมวลชนที่มีอิทธิพลมาก ณ
ปัจจุบันนี้ทีเดียว
เรื่อง Social
Networkingเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อสังคมมาก
แต่ก่อนมีความคิดกันว่า
ประชาชนในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือคนที่ชอบเทคโนโลยี
เช่นคนอเมริกัน มักเป็นแบบคนเก็บตัว social isolated
แต่การวิจัยใหม่ๆ บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้นคนที่ใช้ mobile phone
และ internet มากๆกลับมีสังคมมากขึ้นเสียอีก
ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนที่มาจาก Social Network
เหล่านี้นี่เอง
พ.ย.2552 มีการเก็บสถิติของคนเล่น Twitter และ Facebook ดังนี้ สำหรับTwitter 37% ของผู้เล่นอายุ 18-24 เนื่องมาจากกระแสการบูมของ Twitter ตรงข้ามกับ คนที่เล่น Facebook ในช่วงMay 2008, the median age ของ Facebook คือ 26 แต่ปัจจุบันเฉลี่ยอายุ 33 คือ อายุมากขึ้น
สำหรับ Facebook (www.facebook.com) คือเว็บที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กใช้เงินทุนตัวเองสมัยเรียนเพื่อเช่าเซิร์ฟเวอร์ และ ฮิตมากภายในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ต่อมา ไม่นาน ก็มาฮิตอีกอย่างถล่มทลาย แต่ครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยในไอวี่ลีคอีกต่อไป เพราะมันกลายเป็นเว็บหลักของประชากร อินเตอร์เน็ต บนโลกใบนี้เกือบทั้งใบไปแล้ว (และเป็นแหล่งเล่นเกมทามากอตออนไลน์ของคนไทยที่ติด Pet Society ในเฟสบุ๊คด้วย) อ่านความเป็นมาของFacebookอย่างละเอียด ที่นี่
ขณะนี้
กำลังมีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Social
Network” ที่เล่าประวัติชีวิตของมาร์ค
ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟสบุ๊ควัย 25 ปี
บุคคลทรงอิทธิพลในยุคสื่อสังคม เฟสบุ๊คมีผู้ใช้มากกว่าเกือบ 5
เท่าของประชากรในประเทศไทย (300 ล้านคน)
และมีวิธีหารายได้ที่แตกต่างจาก “กูเกิล” โดย มาร์ค เล่าว่า
แหล่งรายได้ 2 ทางใหญ่ๆ
ที่ทำให้เฟสบุ๊คเติบโตอย่างแข็งแรงได้ คือ…
1.
ระบบการเลือกลงโฆษณา ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ผู้ใช้ที่ต้องการลงโฆษณาใดๆ สามารถเลือกได้ว่าอยากให้โฆษณาของตนลง ณ
จุดไหนของหน้าเฟสบุ๊ค และลงตรงหน้าเพจของผู้ใช้คนใดบ้าง
ซึ่งก็เอื้ออำนวยความสะดวกให้ทั้งแบรนด์ใหญ่และ SME’s
มีโอกาสเข้าถึงสื่อใหม่ สื่อใหญ่ และมีกลุ่มลูกค้าทั่วโลกได้เหมือนๆ
กัน
2. การขายของขวัญเสมือนจริง (Virtual Gifts)
กว่า 70%
ของผู้ใช้เฟสบุ๊คไม่ได้อยู่ที่อเมริกา
และเฟสบุ๊คก็มีเมนูต่างๆ เป็นภาษาของตัวเอง (ภาษาไทยก็มีแล้ว)
สำหรับตัวมาร์คเอง
เขาก็เหมือนๆกับสุดยอดซีอีโอแห่งโลกเทคโนโลยีรายอื่นๆ ก็คือ
ออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเพื่อสร้างอาณาจักรดิจิตอลของตัวเอง
และวันนี้เขาก็ได้เข้าไปใกล้ความยิ่งใหญ่แห่งไมโครซอฟท์แล้ว
และคงอาจจะไม่หวังแค่พันธมิตรกันเท่านั้น
เพราะมาร์คหวังดันให้ “เฟสบุ๊ค ให้ใหญ่ยิ่งกว่า
ไมโครซอฟท์”เสียอีก
สำหรับTwitter
ยังไม่มีรายได้มากอย่างFacebook แต่ก็มีแผนอยากจะได้รายได้
$140 million ในปีหน้า แต่จะมาจากไหน
ผู้บริหารเขาคิดๆๆๆ...ในที่สุดได้คำตอบว่า
Twitter To Charge For Premium Accounts Later This
Year.:ซึ่งใน premium accounts
ดังกล่าว จะให้มีรายละเอียด detailed analytics and ID
verificationด้วย (ภาคธุรกิจไม่ต้องกังวลในเรื่องความลับรั่วไหล)
co-founder Biz Stone บอกว่า Twitterกำลังอยู่ใน
“first phase” of rolling out these accounts. และยังจะมีเรื่องอื่นๆ
ที่สามารถทำรายได้ได้อีก โดยกำลังเตรียมเปิดบริการ Commercial Account
ซึ่งเป็นบริการที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
แต่มีบริการเสริมให้เพิ่มขึ้นด้วย สำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจ
ที่้ต้องการใช้บริการTwitter เพื่อทำการตลาดภายในปี 2009 นี้
ไม่ได้หมายถึงว่าทุกหน่วยงานธุรกิจ
หรือบุคคลทั่วไปจะต้องเริ่มจ่ายเงินให้ twitter
แค่จะมีบริการเสริมเพิ่มเติมให้ สำหรับผู้ที่จ่ายเงินแบบ
Paid Service ลองดูรายละเอียดค่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม
"เว็บบี้ อวอร์ดส์" ประกาศ 10
เหตุการณ์ทรงอิทธิพลต่อโลกอินเตอร์เน็ตในรอบทศวรรษ คัดเลือกโดย
สถาบันศึกษาศิลปะและวิทยาการดิจิตอลนานาชาติ แห่งนครนิวยอร์ค
ประเทศสหรัฐอเมริกา
การถือกำเนิดขึ้นของเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมออนไลน์อย่าง
Twitter และ
Facebook ก็ได้ด้วย
Twitter with the Webby
Award for Breakout of the Year. คนที่ไปรับรางวัลคือ
Biz Stone, co-founder of Twitter
ผ้ซึ่งได้รับการยอมรับว่า มีวิสัยทัศน์ในเรื่องการให้กำเนิด
micro-messaging service
19-11-2009 เดวิด-มิเชล เดวีส์ หัวหน้าคณะผู้บริหารของรางวัลเว็บบี้ อวอร์ดส์ แถลงในวันประกาศ รางวัลว่า "อินเตอร์เน็ต" ถือเป็นเรื่องราวแห่งทศวรรษ เพราะมันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาอันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรๆได้หลายๆอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่เพียงแง่มุมในชีวิตประจำวันของพวกเรา แต่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ตั้งแต่การค้าพาณิชย์ไปจนถึงการสื่อสาร การเมืองไปสู่วัฒนธรรมของประชาชนทั่วไปด้วย