ที่ว่าน่าเป็นห่วงก็เพราะว่า การที่คนเราจะกระทำความดี กลับมองว่า เป็นความน่าละอาย กลายเป็นตรงกันข้ามไปเลย แล้วเราจะหาวิธีใด ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ซึ่งก็คงจะช่วยให้เยาวชนมีความกล้าที่จะแสดงความเป็นตัวตนมากยิ่งขึ้น
การเป็นตัวของตัวเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ มีความมั่นใจในตนเอง แต่หากเป็นไปในทางอนุรักษ์สร้างสรรค์ก็เป็นสิ่งที่ดี ผมไม่ปฏิเสธเลยในการที่คนรุ่นใหม่รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามา เพราะวัฒนธรรมมีการแลกเปลี่ยน ผสมผสานกันมายาวนาน แต่เยาวชน คนรุ่นใหม่ควรที่จะรักษาวัฒนธรรมของเราเอาไว้บ้างโดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงจุดเด่นของจังหวัดนั้น ๆ
ผมได้ตั้งประเด็นถามนักเรียนชั้น ม.6 ที่ผมสอน เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2552 นักเรียนกลุ่มหนึ่งให้ความเห็นว่า สาเหตุที่เยาวชนไม่สนใจเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มีสาเหคุมาจาก “ไม่มีความภาคภูมิใจในภูมิปัญญา ดูถูกภูมิปัญญาของตนเอง” ด้วยความเห็นนี้ เป็นความคิดที่ผู้ใหญ่อย่างผมได้ฟังแล้ว เก็บมาคิดหนัก ผมไม่อาจเปลี่ยนความเห็นเด็กกลุ่มนี้ได้ในเวลาอันสั้น และจะมีอีกกี่คน จะมีอีกกี่กลุ่มเยาวชนที่มีความคิดเห็นอย่างนี้
น่าสงสารบรรพบุรุษ คนรุ่นเก่าที่ได้คิดสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เอาไว้ ในวันที่ยังไม่มีมหรสพ หรือการเล่นรื่นเริง แต่บรรพบุรุษท่านได้ใช้ความสามารถเริ่มต้นการแสดงและการละเล่นที่สนุกสนาน มีคติสอนใจ สื่อนำสารบอกความหมาย สอนลูกหลานด้วยลีลาที่น่าประทับใจ คละเคล้าไปกับความรักและศรัทธา จนพัฒนามาเป็นมหรสพ ที่มีคุณค่า จนถึงตั้งราคาเป็นหมื่น เป็นแสน ต่อการแสดง 1 งาน หรือ 1 คืน
หากจะมองที่การแต่งกาย เครื่องแต่งตัวของคนรุ่นเก่า ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เขานุ่งโจงกระเบน อย่างดีคุณตาคุณปู่ ท่านก็นุ่งกางเกงขาก๊วย (กางเกงรัสเซีย) ส่วนคุณย่าคุณยาย นุ่งผ้าโจงกระเบน แล้วยังสวมเสื้อคอกระเช้า บางท่านเพียงคาดผ้าแถบอยู่กับบ้าน นั่นคือวัฒนธรรมในอดีตที่ผ่านมา เมื่อคนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ออกไปโลดแล่นอยู่กลางวงเพลง การละเล่น เป็นนักแสดง ท่านก็สวมใส่ชุดที่ท่านอยู่บ้านออกไปแสดงความสามารถเล่นกันอย่างสนุกโดยไม่มีการแบ่งฝ่ายว่าเป็นผู้แสดงหรือผู้ดู เด็กรุ่นใหม่ ที่ฝึกหัดการแสดงเพลงพื้นบ้านไม่กล้าที่จะสวมผ้านุ่งแบบโจงกระเบน ต้องเปลี่ยนเป็นผ้าตัดที่คล้ายกับโจงกระเบน ถ้าสังเกตดูนักแสดงเพลงพื้นบ้านเกือบทุกวง ในจังหวัดสุพรรณบุรี แทบจะไม่เห็นมีสวมใส่โจงกระเบนแบบในอดีต จะมีเพียงวงเพลงคณะ เพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 เพียงวงเดียว หรือจะมีที่ไหนอีก ผมมองหาไม้เห็น หรืออาจจะมีก็น้อยเต็มทน
ผมอยู่กับวงเพลงพื้นบ้านมานาน ตั้งแต่เฝ้าติดตามดูการแสดงของนักเพลงรุ่นยาย ต่อมาก็รุ่นป้า จนกระทั่งผมได้เข้ามาเป็นนักแสดง ผันตัวเองมาฝึกหัดเล่นเพลงด้วยความรัก ความศรัทธาและเคารพในตัวครูเพลงต้นแบบที่ให้ความรู้เป็นแบบอย่างให้ผมได้เดินตาม โดยไม่มีใครบังคับหรือแนะนำให้ผมเดินบนเส้นทางนี้
ความรัก เคารพ ความศรัทธา มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกภายในที่ผมได้พบได้เห็นการแสดงทุกประเภทที่เขามีสิ่งที่เขาเคารพนับถือกราบไหว้ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหัวใจ ให้มีสมาธิ มีสติมั่นคง ระลึกได้ ร้องได้ เล่นได้ ทำอะไรต่อมิอะไรได้ จนถึงสามารถร้องด้นกลอนสดยาวนานเท่าที่ผมจะยืนร้อง แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะช่วยให้ เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่มองข้ามบุคคลที่เป็นต้นตำนานของเอกลักษณ์ในท้องถิ่น ใครจะไปเยี่ยม ใครจะไปหา ใครจะไปเรียนรู้เรื่องราวที่เป็นมรดกล้ำค่าเอาไว้บ้าง
อาจจะไม่มี ดูได้จากการแสดงของคนรุ่นน้า รุ่นป้า เวลาที่ผมจะไปนำท่านมาเล่นบนเวทีการแสดง มีบางคนบอกว่า “อย่าไปเอามาเลย คนดูเบื่อตาย” หากคนรุ่นสูงอายุคิดได้เพียงแค่นี้ จะว่าแต่เด็กเขาดูถูกภูมิปัญญาเลย เพราะเขาไม่มีคนโตคอยบอกกล่าวให้เขาได้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ใครคือ ผู้ที่เราต้องศึกษา เพื่อรักษาสิ่งดี ๆ เอาไว้ เพียงคนละไม้คนละมือ เพียงส่วนน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
(ติดตามตอนที่ 3 สาเหตุที่เยาวชนไทยไม่สนใจเอกลักษณ์ของท้องถิ่น)
อ่านแล้วก็เศร้า ๆ
ไปอ่านตอนที่สามต่อครับ