มาทำความเข้าใจกันใหม่เพื่อให้เกิดความถูกต้อง


การปราบมารนั้น เป็นงานสำคัญสุดยอดของธรรมภาคขาว ธาตุธรรมท่านพิจารณาเอาคนของท่านมาเกิด คัดเอาแต่หัวกะทิ เพื่อสืบสานวิชาธรรมกาย ไม่ให้มารดับวิชาของเราได้ ใครอยู่ในหน้าที่นี้ก็ดำเนินไป สอนกันไป ขยายผลกันไป อนุรักษ์กันไป เพื่อให้วิชาธรรมกายอยู่คู่ฟ้า

ขอคัดความรู้ จากหนังสือปราบมาร ที่ถูกเจ้าสำนักใหญ่ สั่งให้ลูกศิษย์นำไปเผามาเผยแพร่ ให้ท่านได้อ่านโดยแยบคาย ข้อความทั้งหมดเป็นของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ไม่มีการแต่งเติมใดๆ ทั้งสิ้น อยู่ในหนังสือปราบมารภาค 4

กระผมตั้งข้อสังเกตดังนี้ พอเป็นเรื่องความรู้จริงๆ จังๆ คนอ่านน้อย วิจารณ์น้อย พอเป็นเรื่องเล็กน้อย กลับอ่านเยอะวิจารณ์เยอะ ก็ตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ เพื่อให้โพธิ์สัตว์ที่ผ่านมาอ่าน ใช้โยนิโสมนสิการให้ลึกซึ้ง เรามาเริ่มกันเลย....

 

มาทำความเข้าใจกันใหม่เพื่อให้เกิดความถูกต้อง

ประเด็นแรก

     ข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้ การปราบมารนั้น เป็นงานสำคัญสุดยอดของธรรมภาคขาว ธาตุธรรมท่านพิจารณาเอาคนของท่านมาเกิด คัดเอาแต่หัวกะทิ เพื่อสืบสานวิชาธรรมกาย ไม่ให้มารดับวิชาของเราได้ ใครอยู่ในหน้าที่นี้ก็ดำเนินไป สอนกันไป ขยายผลกันไป อนุรักษ์กันไป เพื่อให้วิชาธรรมกายอยู่คู่ฟ้า

ประเด็นที่สองคือประเด็นสำคัญ

     คืองานปราบมาร อันเป็นงานสำคัญสุดยอด ใครจะเป็นคนทำนั้น ธาตุธรรมท่านรู้ แต่เราไม่รู้ ไม่ใช่ทำได้ทุกคน ทำได้เฉพาะบางคนเท่านั้น ถึงเวลาที่จะทำ ธาตุธรรมท่านประชุมนิพพานทั้งหมด แล้วมอบหมาย กระทำในวันที่เดินวิชาไปสุดนิพพาน สุดวันไหนธาตุธรรมประชุมวันนั้น แล้วเป็นมติออกมา แล้วเราก็ต้องรับผิดชอบตั้งแต่วันนั้น ท่านใดเป็นวิชายังไม่ถึงขั้น แม้จะเรียนมาร้อยชาติแสนปี ก็ต้องร่วมสังฆกรรมกับเขาไปเหมือนการร่วมวงดนตรี แต่จะเป็นผู้นำวิชาไม่ได้ เพราะความรู้ยังติดขัด เป็นหัวหน้าวงไม่ได้ ธาตุธรรมท่านรู้ ท่านอยากให้เราทำใจจะขาด แต่พระองค์ตัดสินใจอย่างที่เราต้องการไม่ได้ หากตัดสินใจอย่างที่เราต้องการ แพ้มารสถานเดียว ขอให้เข้าใจความถูกต้องแต่วันนี้ ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า พวกเราเป็นวิชาอ่อนก็ควรช่วยอย่างอื่น วิชาเราไม่เก่ง เราก็มีทางช่วยอย่างอื่น ให้กำลังเขา เพื่อให้งานของเขาดำเนินไป งานช้างงานใหญ่คน ๆ เดียวจะทำได้หมดทุกเรื่อง ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเราช่วยเขาในทางใด เมื่อเวลาที่เขาได้บารมี เราก็ได้กับเขาด้วย

เราทำงานอะไรกันต้องพิจารณาความสำคัญ

     งานสร้างบารมี เป็นวิถีของโพธิสัตว์ ต้องลำดับความสำคัญว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เพราะชีวิตของเราจะต้องจบลงในอีกไม่กี่วัน ขนาดรัฐบาลท่านจะทำอะไร? ท่านจะต้องจัดความสำคัญอะไรก่อนอะไรหลังเลย ก็ชาตินี้เป็นชาติที่เรามาพบวิชาธรรมกาย เหตุใดไม่ตักตวงวิชา งานวัตถุเมื่อไรก็ทำได้ มีเงินแล้วทำได้ทั้งนั้น ไม่ยากอะไรเลย แต่ความรู้ทางวิชาธรรมกายนั้น หากไม่มีพระพุทธเจ้ามาเกิด เราไม่รู้จะไปหาความรู้ที่ไหน?

เป็นธรรมกายเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน

     การตักตวงความรู้วิชาธรรมกายนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ เป็นธรรมกายเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน เพราะความรู้ต่างกัน วิชาธรรมกายนั้นมีเนื้อหาความรู้หลายหลักสูตร เหมือนปริญญาบัตรในทางโลก แต่ใครจะมีความรู้ระดับใด? เรื่องนี้ไม่ยากเลย ถ้าแก้โรคไม่ได้ แก้ทุกข์ร้อนปวงชนไม่ได้ ไม่เคยมีประวัติว่าทำไดเลย กรณีนี้ ไม่มีประกาศนียบัตรให้ แต่ก็เป็นธรรมกายเหมือนกัน

     หากเราศึกษาให้ดี เราจะทราบว่า ในสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่นั้น ใครแก้โรคได้ หลวงพ่อจะเรียกใช้ทุกวัน ห่างหลวงพ่อไม่ได้เลย วันหนึ่งหลวงพ่อจะไปสุพรรณบุรี คือบ้านสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง อันเป็นบ้านเกิดของท่าน ปรากฏว่ามีพระเณรอยากไปกับหลวงพ่อ เพราะอยากไปเที่ยวบ้านหลวงพ่อ แต่ว่าจำนวนผู้ติดตามมีจำนวนมาก หลวงพ่อก็บอกว่า “จะไปด้วยก็ได้ แต่ต้องแก้โรคได้” เพียงเท่านี้เองจำนวนผู้ติดตามก็ลดลงฮวบ

     ความรู้แก้โรคและความรู้ดับทุกข์บำรุงสุข เป็นความรู้สำคัญ เป็นความรู้ที่บ่งบอกอานุภาพธรรมกาย เราต้องเรียนรู้ให้ได้ ถึงเราจะไม่เก่งอย่างหลวงพ่อ ถึงเราจะไม่เก่งอย่างแม่ชีถนอม อาสไวย์ แต่เราก็ต้องทำได้บ้าง ทุกวันนี้มีใครแก้โรคได้บ้าง ไม่ได้ยินข่าวเลย เป็นเรื่องน่าเสียใจ ควรเรียนกันใหม่ ทบทวนความรู้กันใหม่ วางพื้นฐานความรู้กันใหม่ ตัดความฟุ้งซ่านทางปัญญาออกไป อย่าเดินวิชาแบบที่มารจูงรู้จูงญาณ ท่านต้องทำได้ หลวงพ่อของเราทำได้ เราก็ต้องทำได้ เพราะเราเรียนความรู้มาจากหลวงพ่อด้วยกันทั้งนั้น

     ใคร ๆ ก็อยากเรียนรู้ แต่การเรียนรู้นั้นไม่เหมือนวิทยาการในทางโลก ความรู้ในทางโลกนั้น เดี๋ยวนี้ใครมีเงินก็ไปเรียนต่างประเทศได้ทุกคน จะเอาปริญญาอะไรก็ได้ แต่ความรู้ทางวิชาธรรมกาย มารเขาขัดขวางตลอดเวลา ข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้ในตอนที่อายุมากนี้เอง การที่จะได้พบคนมีความรู้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับบารมีส่วนตัวของเราด้วย ถ้าดวงบารมีของเรามารยังระเบิดได้ โอกาสที่เราจะพบคนเก่งก็คลาดกันไปคลาดกันมา มารมันไม่ยอมให้คนเก่งกับคนเก่งมาพบกันอย่างเด็ดขาด เหมือนกับเราจะไปพบพระพุทธเจ้า เหมือนกับเราจะไปพบช้างเผือกในป่า เป็นความยากด้วยประการทั้งปวง

     เพราะเหตุใดจึงยากปานนั้น? คนเก่งไปเรียนกับคนเก่งเมื่อไร มารจะถูกดับอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเรื่องอะไรที่มารมันจะยอมให้ผู้มีบารมีมาพบกัน นี่คือเหตุผล

     บอกแล้วว่า การเรียนวิชาธรรมกายไม่ง่ายเหมือนเรียนวิทยาการในทางโลก

     การที่ข้าพเจ้าพิมพ์ตำราวิชาธรรกมายออกเผยแพร่เป็นการขัดคำสั่งของมาร และการที่ข้าพเจ้าเอาเรื่องราวงานปราบมารออกมาเผยแพร่ เป็นการขัดคำสั่งของมารอย่างร้ายแรง หากข้าพเจ้าตายไป ถือว่ายตายคาสังเวียน! ถือว่าตายในสนามรบ!

     ท่านทั้งหลายอย่าได้เก่งกับข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ายอมแพ้ทุกคนไม่ว่าใคร! อย่าได้วิจารณ์ข้าพเจ้าให้เสียเวลาของท่านเลย ข้าพเจ้ายอมแพ้ท่านในทุกรูปแบบ ท่านจะว่าอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ตอบโต้ เพราะยอมแพ้ท่านแล้ว ท่านไม่ควรเสียเวลากับคนที่ยอมแพ้ท่าน เขายอมแพ้ท่านทุกรูปแบบแล้ว ท่านไปข่มเขาทำไม? เป็นการไม่สมควรเลย

     ท่านที่เก่งแล้ว ตำราของข้าพเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อท่าน ท่านไม่ต้องอ่านให้เสียเวลา

     ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วว่า ข้าพเจ้าไปเก่งกับมารเท่านั้น ท่านที่ไม่ใช่มาร ข้าพเจ้าจะไม่แตะต้อง แต่ ถ้าเป็นมารแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด? จะต้องได้พบกับข้าพเจ้า จะได้ประลองวิชากับข้าพเจ้าแน่นอน แต่ใครที่มีธาตุธรรมเป็นมาร หรือครึ่งพระครึ่งมาร หรือข้างนอกบอกว่าเป็นพระแต่ข้างในไม่ใช่พระก็อยู่ในขอบข่ายถูกปราบด้วย

 

วิธีปลอมหรือแปลงเขาทำอย่างไร?

     การจะรู้ว่ามารเขาปลอมหรือแปลงอย่างไรนั้น เป็นความรู้ที่ต้องเรียนกันนาน ต้องมีประสบการณ์ในการปราบมารมาพอสมควร แม้ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่วายที่ถูกมารต้ม เพราะถ้าเราจับประเด็นนี้ได้ เขาก็ไปคิดประเด็นใหม่ เราตามไม่ทัน

     โปรดดูเรื่องในโลกเราเป็นตัวอย่าง นางช้างเมื่อรู้ว่า ลูกของนางเป็นช้างเผือก นางช้างมีวิธีพรางตามนุษย์ โดยนางช้างเข้าป่า ไปหาพืชอะไรไม่ทราบ นำพืชนั้นมาเคี้ยวแล้วก็พ่นพืชนั้นไปทั่วตัวลูกช้าง ความเผือกนั้นก็กลายเป็นไม่เผือก หากเราดูแบบไม่พิจารณา เราก็ว่าเป็นช้างธรรมดา ไม่ใช่ช้างเผือก แต่มนุษย์ฉลาดนัก ทราบว่านางช้างพรางตาเรา ก็ต้องเอาตำราคชลักษณ์มาเรียนกัน ช้างเผือกจะมีลักษณะไม่เหมือนช้างธรรมดา แม้นางช้างจะพรางตามนุษย์ด้วยวิธีใด สุดท้ายมนุษย์ก็จับเอาลูกเผือกไปจนได้

     กลับมาดูการปลอมพระเครื่องในบ้านเรา สายตาอย่างเราดูไม่ออกว่า เป็นพระปลอมหรือพระไม่ปลอม แต่เซียนพระเขาจะรู้ทันที

     สรุปแล้ว เรื่องการปลอมตัวแปลงกายของมาร เขามีวิธีแยบยลเป็นไหน ๆ ยากที่จะจับได้ไล่ทัน

     ขออนุญาตกล่าวถึงความรู้บางอย่างที่เพิ่งแจ้งชัด หากกล่าวไว้ก็จะเป็นข้อคิดของบัณฑิต เพื่อให้เกิดความถูกต้องในความรู้ ไม่มีเจตนาในแง่ร้าย ใคร ๆ ก็ทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์อุบาสิกาทองสุข สำแดงปั้น ข้าพเจ้าได้เรียนวิชาธรรมกายกับท่านเป็นเวลายาวนาน ความรู้ที่ท่านสอนมี ๒ ความรู้คือ ความรู้เรื่องเดินฌานสมาบัติ ท่านอัดเทปไว้ ใครมาเรียนก็เปิดเทปฟังและ ความรู้บูชาข้าวพระ การบูชาข้าวพระนี้ ทำกับท่านมานาน ท่านสอนอย่างไรก็ทำตามทั้งนั้น เหตุการณ์ผ่านมาหลายปี ข้าพเจ้าย้ายตำแหน่งราชการไปเป็นศึกษาธิการอำเภอในต่างจังหวัด และชีวิตในทางวิชาธรรมกายของข้าพเจ้าถูกธาตุธรรมท่านคาดคั้นให้ทำวิชาปราบ มารในปี ๒๕๒๗ งานทำวิชาปราบมารดำเนินมาระยะหนึ่ง จึงแจ้งเรื่องความรู้บูชาข้าวพระ ที่เราเชื่อว่าถึงพระพุทธองค์นั้น เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน แท้ที่จริงแล้วไม่ถึงพระพุทธองค์ ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือปราบมารภาค ๑ นั้น เนื้อหาสาระมีอย่างไรนั้น ขอให้ท่านอ่าน “ปราบมารภาค ๑” จะทราบเรื่องละเอียด

     ที่นำเรื่องมากล่าวย้ำ ก็เพื่อให้เกิดข้อคิดว่า อะไร ที่จะแก้ให้ถูกได้ เป็นสิ่งที่ควรทำ อย่าให้ความไม่ถูกนั้นสืบต่อไปถึงคนอื่นอีกเลย เพราะความไม่ถูก มารเขาเป็นเจ้าของ และความถูก พระท่านเป็นเจ้าของ ความถูกนั้นจะสืบทอดกันยาวนานแค่ไหน เป็นเรื่องอันตรายมาก หากไม่รู้ไม่เห็น ไม่เป็นไร แต่เมื่อรู้เห็นแล้ว เหตุใดไม่ช่วยกันแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง นี่คือเหตุผล ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาร้ายต่ออาจารย์เลย สมาชิกที่ปฏิบัติธรรมต่างยอมรับว่า ข้าพเจ้าเคารพอาจารย์ของข้าพเจ้าเพียงไร ภาพพจน์แห่งชีวิตระหว่างข้าพเจ้ากับแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ไม่ต้องนำมากล่าวกันอีกแล้ว

     เพราะการทำวิชาปราบมารนั้น มีการพิสูจน์นั้นหลายขั้นตอนตามกระบวนการแห่งการทำวิชา แล้วเรื่องราวจึงแจ้งขึ้น แต่กาลก่อนข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิด พอได้เห็นของจริง ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นทันใด ที่เราบูชาข้าวพระที่แล้วมานั้น เราบำรุงใครกันแน่ เราว่าเราบำรุงพระพุทธองค์ เอาเข้าจริงพระพุทธองค์ไม่ได้ฉัน แต่ใครเล่ามากินเครื่องบูชาของเรา ดีแต่ว่าเรื่องมาแจ้งขึ้น มิฉะนั้นเราจะโง่อีกแค่ไหน ยังไม่รู้ เป็นอานิสงส์ของปราบมารแท้ ๆ ที่ได้มารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก จึงได้นำเรื่องราวมากล่าวไว้ในหนังสือปราบมารภาค ๑

     การหลอกอย่างนี้ เราถูกหลอกมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน แต่เราไม่รู้ว่าถูกหลอก เพิ่งได้รู้ในชาตินี้โดยวิชาซ้อนสับทับทวีที่หลวงพ่อสอน เมื่อเดินวิชาละเอียดจึงจะรู้ การหลอกระดับละเอียดจะมีอย่างไร? ยังไม่ทราบ ข้าพเจ้ายังเดินวิชาไปไม่ถึง จึงนำความรู้นั้นมากล่าวไม่ได้

     กล่าวถึงอะไรที่พอจะนำมาเรียนรู้กันได้บ้าง ก็ควรนำมากล่าว อย่างน้อยก็เกิดปัญญา และเกิดความคิดเพื่อขจัดอวิชชา ไม่ใช่เรียนโดยไม่พิจารณา ต้องพิจารณาใคร่ครวญในทุกความรู้ เพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าอะไรก็ว่าตามกัน อย่างเช่นความรู้วิชาธรรมกายที่หลักสูตรคู่มือสมภารและหลักสูตรวิชชามรรคผล พิสดาร แต่ละบทใช้เวลาเดินวิชาแรมปีกว่าจะหาข้อยุติได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะหลักสูตรปราบมารด้วยแล้ว ยากขึ้นไปอีกเป็นร้อยเท่าแสนเท่าทีเดียว ท่านทั้งหลายไม่ลองก็ไม่รู้ ข้าพเจ้ามีประสบการณ์มานานปี ต้องว่าเข้าสูตรเลือดโชกแล้ว ได้รู้อะไรได้เห็นอะไรก็นำมาเขียนตำรา ถือว่าเป็นความรู้สำคัญ มีความจำเป็นที่เราต้องเรียนรู้ หนังสืออย่างนี้ ตำราอย่างนี้ ยังไม่เคยปรากฏแก่โลกมาก่อน

หมายเลขบันทึก: 298931เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2009 11:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 09:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท