ชีวิตที่พอเพียง : 22. ฝนตก


• นั่งทำงานที่ระเบียงหน้าบ้าน (วันที่ ๗ พค. ๔๙) ท้องฟ้าครึ้มมาตั้งแต่เช้า    พอเกือบห้าโมงเช้าฝนก็เทลงมา    ทำให้ผมระลึกชาติกลับไปสมัยเด็กๆ เวลาฝนตก    ฝนเป็นทั้งสิ่งที่ทำความลำบากให้เรา    ให้ประลบการณ์แก่เรา     และที่สำคัญสำหรับผม บางครั้งฝนเป็นมหรสพ    ตอนเด็กมากๆ ผมเคยนั่งดูฝนและจินตนาการได้ต่างๆ นานา     นับได้ว่าฝนได้ช่วยสอนให้ผมเป็นคนช่างสังเกต
• สมัยอายุสัก ๘ ขวบบ้านผมเป็นบ้านไม้ หลังคามุงจาก    เรียกว่าหลังคาจาก   สมัยนั้นบ้านใครหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงสังกะสี ถือว่าโก้มาก เป็นเศรษฐี    เวลาฝนตกผมออกไปวิ่งเล่นหรือทำอย่างอื่นไม่ได้ก็นั่งดูชายคา     ดูน้ำฝนหยดจากชายคา     ชายคาของหลังคาจากมันมีเรื่องราวเยอะกว่าชายคาของหลังคากระเบื้องหรือหลังคาสังกระสี    เนื่องจากหลังคาจากชายคามันไม่สม่ำเสมอ    ดังนั้นหยดน้ำที่หยดลงมาก็ไม่สม่ำเสมอ    เวลาฝนตกหนักน้ำที่ไหลลงมาจะมีแรงพุ่ง    บางส่วนของหลังคาน้ำจะพุ่งแรงกว่า ผมก็สมมติให้เป็นพระเอก มีพละกำลังมากกว่าสายน้ำอื่นๆ     อ้าวอีกสักครู่พระเอกหงอยเสียแล้ว    มีพระเอกคน (สาย) ใหม่เข้ามาแทน    ผมก็นั่งดูว่าช่วงที่ฝนตกแรง-น้อยแบบไหนสายน้ำตรงชายคาส่วนไหนหยดลงดินไปไกลที่สุด  
• ชายคาบางส่วนมีแต้มต่อ    เพราะใบจากบางใบมันยื่นออกไปมากที่สุด    สายน้ำจึงหยดลงดินได้ไกลที่สุด
• นอกจากดูสายน้ำ ผมดูดินด้วย ดูลูกคลื่นที่เกิดจากน้ำหยดด้วย    ดูว่าลูกคลื่นจากหยดไหนเป็น “พระเอก” คือแรงและกินแดนเข้าไปในคลื่นลูกอื่นได้มากที่สุด  
• ตอนฝนตกใหม่ๆ น้ำยังไม่ขัง    หยดน้ำจะเซาะดินเป็นหลุมลงไป    ผมก็นั่งดูว่าหลุมไหนลึกที่สุด เพราะอะไร    จุดที่เป็นดินทราย แม้หยดน้ำไม่ใหญ่มาก แต่หลุมก็ลึก    จุดที่ดินแข็งแพ้ด้านหลุมไม่ลึก   แต่ชนะด้านน้ำกระเซ็นไปไกลกว่า
• พอฝนตกนานเข้า น้ำนองที่หน้าบ้าน ผมก็นั่งดูน้ำหยดลงบนพื้นน้ำ ทั้งที่เป็นหยดน้ำฝนโดยตรง และที่หยดจากหลังคา เป็นรูปศิลปะต่างๆ ไม่ซ้ำแบบกัน   ที่หยดลงจากใบไม้ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง    ดูได้เพลิดเพลินทั้งดูตอนหยดจากใบไม้ และดูตอนตกลงน้ำที่พื้นดิน
• ผมดู “น้ำแดง” กับ “น้ำดำ” ต่อสู้กัน สนุกสนานมาก    ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ    “น้ำแดง” คือน้ำที่ไหลลงมาจากถนน (โรยลูกรัง) หน้าบ้าน    “น้ำดำ” คือ น้ำที่ไหลมาจากทางหลังบ้านผ่านดินที่เป็นสีคล้ำๆ    น้ำสองสีจะมาบรรจบกัน และ “ต่อสู้ชิงเขตแดนกัน” (ตามจินตนาการของผม)    บางครั้งผมก็ถือหางฝ่ายหนึ่ง ลงไปกรุยทางให้น้ำที่ผมถือหางไหลสะดวกขึ้น   
• ฝนกำลังตกอยู่ มีปูนาตัวใหญ่เดินชูก้ามมา    บางครั้งผมก็จับมาเล่น    บางครั้งจับหลายๆ ตัวเอามาทุบให้ไก่หรือเป็ดกิน   บางตัวเป็นตัวเมียมีลูกตัวเล็กๆ อยู่เต็ม “สะดือ” เราก็จับมาขังไว้ดูเล่น ดูลูกตัวเล็กๆ ไต่ยั้วเยี้ย
• บางครั้งก็มีปลาช่อน ปลาหมอ แถกขึ้นมา ถ้าเราเห็นก็เป็นลาภปาก    ได้จับเอามากินเป็นอาหาร  
• พอฝนตกหลายๆ วัน มีน้ำขังในคูเราก็จะได้ฟังดนตรีธรรมชาติ  “อึ่ง – อ่าง   อึ่ง - อ่าง”  ประสานเสียงกันเพราะมาก   ที่สระน้ำในหมู่บ้านสิวลีที่ผมอยู่ในขณะนี้ก็มีเสียงดนตรีนี้    แต่ผมรู้สึกว่าไม่ไพเราะเท่ากับสมัยผมเด็กๆ  
• พอฝนห่าแรกๆ ผ่านไป    ผมมีหน้าที่รองน้ำฝนใส่ตุ่มเวลาฝนตก    โดยเอารางสังกะสี (เป็นสังกะสีแผ่นเดียวหักตามยาวให้เป็นราง) ใส่ตุ่มหันรางตามยาวของชายคา    พอตุ่มหนึ่งเต็มก็ย้ายไปอีกตุ่มหนึ่ง    เราต้องดูเป็นว่าน้ำที่รองใสสะอาด   ไม่เหลืองเป็นสีฝุ่นลูกรังจากถนนที่รถยนต์ทำให้ฟุ้งขึ้นมา    ผมกินน้ำฝนรองเก็บใส่ตุ่มเองเรื่อยมาแม้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ   และกลับออกไปอยู่ที่หาดใหญ่     เพิ่งมาเลิกกิน เพราะน้ำจากหลังคาไม่สะอาดเมื่อกลับเข้ามาอยู่กรุงเทพรอบหลังนี่เอง
• ถ้าฝนตกหนักมาก การรองน้ำต้องเปียก เราก็เล่นน้ำฝนเสียเลย เย็นชุ่มฉ่ำดีจริงๆ  
• ฝนตก เป็นทั้งศิลปะ    มหรสพ    ให้น้ำกินน้ำใช้   และให้ได้เล่นสนุกสนาน    ในวิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติและพอเพียง

วิจารณ์ พานิช
๗ พค. ๔๙

หมายเลขบันทึก: 29239เขียนเมื่อ 17 พฤษภาคม 2006 15:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มีนาคม 2012 11:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น
วิรัตน์ คำศรีจันทร์
   ชอบจังเลยครับอาจารย์  อย่างนี้จัดว่าเป็นจัดความรู้ในตน เพื่อความสุขและรื่นรมย์ใจ ภายในตนโดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุภายนอก ใช่ไหมครับ
   ชอบมากครับ  คล้ายๆของท่านอาจารย์  ตอนเด็กชอบนั่งดูสายฝน  แต่ไม่สนุกนักเพราะหลังคามุงกระเบื้องไปแล้ว  สายน้ำที่ลงมาไม่หลากหลายรูปแบบเหมือนหลังคาจาก  ผมชอบลงไปตากฝนเล่นน้ำและทำตัวเป็นนายช่างทำเขื่อน กั้นน้ำที่ไหลตามร่องน้ำชายคาด้วยดินเหนียว  เอาก้านมะละกอตัดเสียบเป็นท่อ  เอาหลอดได้มาทำเป็นแกนกังหันน้ำ  น้ำจากท่อพุ่งใส่หลอดด้ายหมุนติ้ว  ก็จินตนาการว่าโตขึ้น มีตัง จะทำของใหญ่ๆให้ได้  ... ฯลฯ

สมัยยังเป็นเด็กเล็กๆ   ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบดูสายฝน    ชอบนอนฟังเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคา(ที่เป็นสังกะสีและกระเบื้อง)  ตั้งแต่ฝนเริ่มลงเม็ด ฝนตกหนัก ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบและดังลั่นด้วยเพราะเกิดพายุ    ในตอนนั้น...ได้รับการบอกเล่าตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆว่า รามสูรกำลังขว้างขวานเพื่อจะแย่งเอาลูกแก้วจากนางเมฆขลา...

พอเข้าโรงเรียน ก็เริ่มตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของน้ำฝนที่มีต่อมนุษย์อย่างมหาศาล   

และเมื่อเรียนรู้มากขึ้นตามระยะเวลาที่ก้าวเดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง(เพราะเราอายุมากขึ้น)  ก็เริ่มรู้สึกว่า นอกจากประโยชน์แล้วน้ำฝนยังก่อให้เกิดโทษได้เช่นเดียวกันซึ่งอาจเกิดจากผลกระทบ ที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่มากมาย  ทั้งที่เป็นปัจจัยธรรมชาติและจากมลพิษที่สั่งสมจากการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยตั้งใจหรือโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม... 

ในวิถีชีวิตความเป็นจริงที่จะต้องก้าวเดินไปอีกยาวไกล  สัจธรรมที่คิดว่าดีที่สุดอย่างที่ท่านได้กล่าวไว้  ความพอเพียง  เข้มแข็ง อดทนและความจริงใจคงจะช่วยให้สามารถกลั่นน้ำฝนมาใช้ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่จะทำได้แก่ต้นไม้เล็กๆที่ยังต้องการน้ำฝนเพื่อการดำรงชีวิตให้ได้ในสังคมยุคนี้ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท