• นั่งทำงานที่ระเบียงหน้าบ้าน (วันที่ ๗ พค. ๔๙)
ท้องฟ้าครึ้มมาตั้งแต่เช้า
พอเกือบห้าโมงเช้าฝนก็เทลงมา
ทำให้ผมระลึกชาติกลับไปสมัยเด็กๆ เวลาฝนตก
ฝนเป็นทั้งสิ่งที่ทำความลำบากให้เรา
ให้ประลบการณ์แก่เรา และที่สำคัญสำหรับผม
บางครั้งฝนเป็นมหรสพ ตอนเด็กมากๆ
ผมเคยนั่งดูฝนและจินตนาการได้ต่างๆ นานา
นับได้ว่าฝนได้ช่วยสอนให้ผมเป็นคนช่างสังเกต
• สมัยอายุสัก ๘ ขวบบ้านผมเป็นบ้านไม้
หลังคามุงจาก เรียกว่าหลังคาจาก
สมัยนั้นบ้านใครหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงสังกะสี ถือว่าโก้มาก
เป็นเศรษฐี
เวลาฝนตกผมออกไปวิ่งเล่นหรือทำอย่างอื่นไม่ได้ก็นั่งดูชายคา
ดูน้ำฝนหยดจากชายคา
ชายคาของหลังคาจากมันมีเรื่องราวเยอะกว่าชายคาของหลังคากระเบื้องหรือหลังคาสังกระสี
เนื่องจากหลังคาจากชายคามันไม่สม่ำเสมอ
ดังนั้นหยดน้ำที่หยดลงมาก็ไม่สม่ำเสมอ
เวลาฝนตกหนักน้ำที่ไหลลงมาจะมีแรงพุ่ง
บางส่วนของหลังคาน้ำจะพุ่งแรงกว่า ผมก็สมมติให้เป็นพระเอก
มีพละกำลังมากกว่าสายน้ำอื่นๆ
อ้าวอีกสักครู่พระเอกหงอยเสียแล้ว มีพระเอกคน (สาย)
ใหม่เข้ามาแทน
ผมก็นั่งดูว่าช่วงที่ฝนตกแรง-น้อยแบบไหนสายน้ำตรงชายคาส่วนไหนหยดลงดินไปไกลที่สุด
• ชายคาบางส่วนมีแต้มต่อ
เพราะใบจากบางใบมันยื่นออกไปมากที่สุด
สายน้ำจึงหยดลงดินได้ไกลที่สุด
• นอกจากดูสายน้ำ ผมดูดินด้วย
ดูลูกคลื่นที่เกิดจากน้ำหยดด้วย
ดูว่าลูกคลื่นจากหยดไหนเป็น “พระเอก”
คือแรงและกินแดนเข้าไปในคลื่นลูกอื่นได้มากที่สุด
• ตอนฝนตกใหม่ๆ น้ำยังไม่ขัง
หยดน้ำจะเซาะดินเป็นหลุมลงไป
ผมก็นั่งดูว่าหลุมไหนลึกที่สุด เพราะอะไร
จุดที่เป็นดินทราย แม้หยดน้ำไม่ใหญ่มาก
แต่หลุมก็ลึก
จุดที่ดินแข็งแพ้ด้านหลุมไม่ลึก
แต่ชนะด้านน้ำกระเซ็นไปไกลกว่า
• พอฝนตกนานเข้า น้ำนองที่หน้าบ้าน ผมก็นั่งดูน้ำหยดลงบนพื้นน้ำ
ทั้งที่เป็นหยดน้ำฝนโดยตรง และที่หยดจากหลังคา เป็นรูปศิลปะต่างๆ
ไม่ซ้ำแบบกัน
ที่หยดลงจากใบไม้ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
ดูได้เพลิดเพลินทั้งดูตอนหยดจากใบไม้ และดูตอนตกลงน้ำที่พื้นดิน
• ผมดู “น้ำแดง” กับ “น้ำดำ” ต่อสู้กัน
สนุกสนานมาก ผลัดกันรุก
ผลัดกันรับ “น้ำแดง” คือน้ำที่ไหลลงมาจากถนน
(โรยลูกรัง) หน้าบ้าน “น้ำดำ” คือ
น้ำที่ไหลมาจากทางหลังบ้านผ่านดินที่เป็นสีคล้ำๆ
น้ำสองสีจะมาบรรจบกัน และ “ต่อสู้ชิงเขตแดนกัน”
(ตามจินตนาการของผม) บางครั้งผมก็ถือหางฝ่ายหนึ่ง
ลงไปกรุยทางให้น้ำที่ผมถือหางไหลสะดวกขึ้น
• ฝนกำลังตกอยู่ มีปูนาตัวใหญ่เดินชูก้ามมา
บางครั้งผมก็จับมาเล่น บางครั้งจับหลายๆ
ตัวเอามาทุบให้ไก่หรือเป็ดกิน
บางตัวเป็นตัวเมียมีลูกตัวเล็กๆ อยู่เต็ม “สะดือ”
เราก็จับมาขังไว้ดูเล่น ดูลูกตัวเล็กๆ ไต่ยั้วเยี้ย
• บางครั้งก็มีปลาช่อน ปลาหมอ แถกขึ้นมา
ถ้าเราเห็นก็เป็นลาภปาก
ได้จับเอามากินเป็นอาหาร
• พอฝนตกหลายๆ วัน มีน้ำขังในคูเราก็จะได้ฟังดนตรีธรรมชาติ
“อึ่ง – อ่าง อึ่ง - อ่าง”
ประสานเสียงกันเพราะมาก
ที่สระน้ำในหมู่บ้านสิวลีที่ผมอยู่ในขณะนี้ก็มีเสียงดนตรีนี้
แต่ผมรู้สึกว่าไม่ไพเราะเท่ากับสมัยผมเด็กๆ
• พอฝนห่าแรกๆ ผ่านไป
ผมมีหน้าที่รองน้ำฝนใส่ตุ่มเวลาฝนตก
โดยเอารางสังกะสี (เป็นสังกะสีแผ่นเดียวหักตามยาวให้เป็นราง)
ใส่ตุ่มหันรางตามยาวของชายคา
พอตุ่มหนึ่งเต็มก็ย้ายไปอีกตุ่มหนึ่ง
เราต้องดูเป็นว่าน้ำที่รองใสสะอาด
ไม่เหลืองเป็นสีฝุ่นลูกรังจากถนนที่รถยนต์ทำให้ฟุ้งขึ้นมา
ผมกินน้ำฝนรองเก็บใส่ตุ่มเองเรื่อยมาแม้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ
และกลับออกไปอยู่ที่หาดใหญ่ เพิ่งมาเลิกกิน
เพราะน้ำจากหลังคาไม่สะอาดเมื่อกลับเข้ามาอยู่กรุงเทพรอบหลังนี่เอง
• ถ้าฝนตกหนักมาก การรองน้ำต้องเปียก เราก็เล่นน้ำฝนเสียเลย
เย็นชุ่มฉ่ำดีจริงๆ
• ฝนตก เป็นทั้งศิลปะ มหรสพ
ให้น้ำกินน้ำใช้ และให้ได้เล่นสนุกสนาน
ในวิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติและพอเพียง
วิจารณ์ พานิช
๗ พค. ๔๙
สมัยยังเป็นเด็กเล็กๆ ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบดูสายฝน ชอบนอนฟังเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคา(ที่เป็นสังกะสีและกระเบื้อง) ตั้งแต่ฝนเริ่มลงเม็ด ฝนตกหนัก ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบและดังลั่นด้วยเพราะเกิดพายุ ในตอนนั้น...ได้รับการบอกเล่าตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆว่า รามสูรกำลังขว้างขวานเพื่อจะแย่งเอาลูกแก้วจากนางเมฆขลา...
พอเข้าโรงเรียน ก็เริ่มตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของน้ำฝนที่มีต่อมนุษย์อย่างมหาศาล
และเมื่อเรียนรู้มากขึ้นตามระยะเวลาที่ก้าวเดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง(เพราะเราอายุมากขึ้น) ก็เริ่มรู้สึกว่า นอกจากประโยชน์แล้วน้ำฝนยังก่อให้เกิดโทษได้เช่นเดียวกันซึ่งอาจเกิดจากผลกระทบ ที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่มากมาย ทั้งที่เป็นปัจจัยธรรมชาติและจากมลพิษที่สั่งสมจากการกระทำของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยตั้งใจหรือโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม...
ในวิถีชีวิตความเป็นจริงที่จะต้องก้าวเดินไปอีกยาวไกล สัจธรรมที่คิดว่าดีที่สุดอย่างที่ท่านได้กล่าวไว้ ความพอเพียง เข้มแข็ง อดทนและความจริงใจคงจะช่วยให้สามารถกลั่นน้ำฝนมาใช้ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่จะทำได้แก่ต้นไม้เล็กๆที่ยังต้องการน้ำฝนเพื่อการดำรงชีวิตให้ได้ในสังคมยุคนี้