ถึงเชียงใหม่เช้าครับ อากาศดีทีเดียว มีรถตู้ของทีมงานมารับ เดินทางขึ้นเขากันต่อ ผ่านกลุ่ม นปช.เป็นระยะๆ
(ไม่ทราบทำอะไรกัน)
</span>
ผมเคยดูสารคดีของมูลนิธิกระจกเงา "ปกาเกอญอกับช้าง" มาครั้งนี้ผมหวังเห็นช้าง
เราไปถึงที่หมายเที่ยงครับ เข้าที่พักในลักษณะ Home stay รับประทานอาหาร และเริ่มกิจกรรม
บ่ายวันนี้มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม จะมาทำสื่อการศึกษาให้กับเด็กๆ กิจกรรมวันนี้เริ่มต้นที่วัดครับ
วัดนี้มี "พระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา"ซึ่งเป็นโครงการของ "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย"
วันหลังผมอยากจะนำเรื่องนี้มานำเสนอ
(ผมไปใช้บริการมาแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐบริการดีเยี่ยม)
ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ อากาศดี มีการเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช มีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาหารการกินพร้อม
ผมคิดว่าที่นี่เศรษฐกิจดีกว่าพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ หรือแม้แต่คนไทยบางพื้นที่
ผมเคยไปถ่ายรายการที่เกาะเหลา จ.ระนอง พี่น้องมอแกนที่นั่นแย่กว่าที่นี่หลายสิบเท่า หรือแม้แต่ปกาเกอญอที่สวนฝึ้ง ราชบุรีก็ไม่ดีเท่านี้ (ทั้งสองที่ยังมีปัญหาเรื่องสัญชาติ)
..... ๒. ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs)
สังคมที่นี่บ้านมีรั้วแค่เอาไว้แสดงเขต บางบ้านไม่มีรั้ว ผมไม่เห็นตำรวจ หากไม่นับสุนัขดุ คาดว่าน่าจะปลอดภัยในระดับที่วางใจได้
มีสถานีอนามัยที่สะอาด มีรอยยิ้ม น่าใช้บริการ แต่พบว่ามีปัญหาครอบครัวบ้าง(คิดว่าเรื่องปกติ)ถนนหนทางราดยางเป็นถนนปลอดฝุ่น ฮ่าๆ
สังคมที่นี่เอื้อต่อความต้องการในด้านนี้ครับ เมื่อร่างกายสมบูรณ์ สังคมปลอดภัย ความเป็นสังคมก็เกิดขึ้นอย่างสะดวก
แม้เด็กโตจะต้องไปเรียนในเมืองที่ใหญ่กว่า
แต่พบว่าประชากรวัยกลางคนมีเยอะพอสมควร นั่นแสดงว่า เด็กๆ ที่ไปเรียนในพื้นที่อื่นไม่ได้ทิ้งถิ่นไปอย่างสิ้นเชิง มีหลายคนที่กลับมา
แต่ผมไม่สามารถแจกแจงอย่างละเอียดในสถิติได้
ผมพบเด็กกำพร้าคนหนึ่งอายุ สี่หรือห้าขวบ พ่อและแม่เสียชีวิต เด็กคนนี้ค่ำไหนนอนนั่น แต่การนอนในที่นี้ไม่ได้นอนริมถนน
แต่หมายถึงค่ำบ้านไหนนอนบ้านนั้น
เด็กคนนี้ยังโชคดี เพราะถ้าเหตุการณ์นี้เกิดในสังคมอื่นเช่น กทม. เค้าอาจได้นอนฟุตบาท
ผมพิจารณาเห็นความต้องการด้านนี้ไม่มาก คิดว่าน่าจะแค่ไม่ต้องการให้คนอื่นมาดูถูกหรือรักษาตนเองให้อยู่ในมาตรฐานทางสังคม
ผมอาจฝังตัวอยู่ไม่นานและไม่ลึก
......
บ้านที่ไม่มีความอบอุ่น สังคมที่มีแต่การแก่งแย่ง
ทุนนิยมปลูกฝังสังคมทำให้บ้าน ไม่เป็นบ้าน เพื่อน ไม่เป็นเพื่อน นับถือเคารพกันจากจำนวนเงิน ไม่ใช่คุณค่าของคนๆนั้นอย่างแท้จริงๆ
คนที่ต้องไหลไปกับกระแสทุนอย่างเรา เมื่อไรจะได้ชนความงามของชีวิตริมสองข้างทางซักทีเนอะ
การไหลไปกับกระแสทุนไม่ใช่เรื่องแปลกครับ
การไม่ไหลนั่นอาจแปลก
แต่ที่แปลกมากคือ ไหลแบบไม่ลืมหูลืมตา บางทีก็หลายๆ อย่าง ทำให้เป็นอย่างนั้น
คิดถึงเหมือนกันครับพี่ อิอิ
หนูบีเวอร์
การศึกษาช่วยได้ แต่การศึกษาไทยเมื่อไรจะไปถึงจุดนี้/ ป้าวิไล
หวัดดีจ้ะน้องปืน ... น่าสนใจจัง
เข้าใจเปรียบเทียบดีนะ.... คนสนามหลวงไม่อยากกลับบ้าน มากกว่า มั้ง ทั้งๆที่บ้านอาจจะอบอุ่นกว่า แท้ๆๆ
ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวยาว
สบายดีนะจ้ะ
มันก็หลายเหตุหลายปัจจัยอย่างที่น้องเขียนวิเคราะห์ไว้
การศึกษาในโรงเรียนสอนให้เราแปลกแยกจากบ้านและงานที่บ้าน
บ้านก็ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่สำหรับคนไร้บ้านที่สนามหลวง บางคนมีบ้านแต่กลับไม่อยากกลับบ้าน
แต่การไม่กลับบ้านของคนไร้บ้านกับของเด็กวัยรุ่นที่เรียนจบอาจจะไม่เหมือนกัน
ตรงที่คนที่บ้านอยากหรือไม่อยากให้พวกเขากลับบ้าน ?
ตอบ อาจารย์วิไล วัชรพิชัย
ดีใจครับ ไม่ได้ทักทายกันตั้งนาน อิอิ
การศึกษาคือปัจจัยส่วนใหญ่ในทุกผลลัพท์นะครับ ต้องพิจารณาดีดี การกระดิกพลิกตัวในประเด็นนี้ เป็นได้ทั้งคุณและโทษ มีผลทั้งปัจจุบัน และอนาคต
น่ากลัวครับ
..................
ตอบ พี่แก่นจัง
ต้องจำกัดความคำว่าคนสนามหลวงนะครับ ว่าหมายถึงใคร
ก้จริงนะครับ บางคนก้เลือกที่จะไม่กลับ บางคนก็กลับไม่ได้ หรือ ไม่มีให้กลับ
เหตุของผลพวกนี้แหละครับ น่าสนใจ
....................
ตอบ อาจารย์ Ninko
หลายๆ กรณีบ้านก็ไม่อยากให้กลับนะครับอาจารย์ ผมคิดว่านะครับ
แต่ที่คิดไม่ออกครับอาจารย์ คำตอบหรือคำถามเดียวกันทุกคอมเมนต์
หรือ อาจเรียกได้ว่า เมนไอเดียของบทความ คือ
ระบบอะไร หรือ อะไร สร้างระบบสังคมไทยให้ไหลมาอยู่ในสถานะการณ์นี้
ประเด็นในบทความนะครับ ไม่เกี่ยวกับสีทางการเมือง
และระบบอะไรที่ทำให้สังคมของชาวกะเหรี่ยงที่แม่วาง ยังคงอบอุ่น
และมีแนวโน้มในการพัฒนาความเป็นตัวตน สร้างบทบาททางสังคม
หรือฐานะทางสังคมในลักษณะกรเป็นพลเมืองเจ้าของพื้นที่
มากกว่าจะถูกมองว่า เป็นพลเมืองชั้นสอง
ต่างกันกับคนไร้บ้านที่สนามหลวงครับ เค้าเป็นพลเมืองชั้นที่เท่าไหร่
สวัสดีครับ
อ่านแล้วคิดถึงวันวานเลยครับ
เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วชีวิตผมวนเวียนอยู่แถวนั้น
เคยไปนอนที่บ้านหนองเต่า (บ้านพ่อหลวงจอนิ) คร้ังละหลายวัน
มีมิตรสหายที่ห้วยอีค่าง ห้วยข้าวลีบ หนองมณฑา ฯลฯ
ว่าแต่ว่าหมู่บ้านที่ไปนี่คือที่ไหนครับ
...
ที่ถามว่า "ทำไมจบการศึกษาแล้วไม่สามารถหางานทำในภูมิลำเนาได้ เด็กเรียนอะไร หรือ ระบบการศึกษาให้เด็กเรียนอะไร..."
ผมคิดอย่างนี้ครับ
(๑) การศึกษาเป็นปัจจัยหลักที่ผลักเด็กออกจากชุมชนท้องถิ่น ระบบการศึกษามีเนื้อหาซ่อนเร้นที่ปลูกฝังเจ้าไปในสำนึกได้จั๋งหนึบหลายเรื่อง เช่น ชอบความสบาย รังเกียจงานหนัก ความร่ำรวยเงินทองเป็นเป้าหมายชีวิต ฯลฯ
(๒) เด็กลูกหลานชาวไร่ชาวนา/เกษตรกร เมื่ออยู่ในระบบการศึกษานาน ๆ ย่อมถูกทำลายโอกาส/ศักยภาพ /การเรียนรู้ ที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ ยิ่งเรียนสูงยิ่งกลับบ้านไปสืบทอดอาชีพครอบครัวไม่ได้ นอกจากนั้นการติดความสบาย ก็ยิ่งทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวไม่มีความสุข เพราะความสุข=ความสะดวกสบาย
(๓) ลูกหลานชาวไร่ชาวนา ลูกหลานคนจนอยู่ในเมืองก็ใช่จะประสบความสำเร็จ โอกาส/ความสามารถในการแข่งขัน สู้ลูกคนชั้นกลางในเมืองไม่ได้ ดังเช่นผมเป็นต้น
(๔) โดยสรุปแล้ว พวกนี้เข้าข่าย "กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง"
(๕) เคยฟังเพลงดาวมหาลัย ไหมครับ นั่นแหละสะท้อนการศึกษาไทยเลย
ขอบคุณครับอาจารย์ งานบ้าง เรียนบ้าง ต่อไปจะพยายามเขียนอย่างสม่ำเสมอ ครับ
กว้างกว่า 3 cm จิงหรอ? (ช่วยไรได้มั้ยเนี่ย 3 เซน)
อยากบอกว่าอากาศหนาวมากๆ ตอนกลางคืน (แทบกระอัก)
คนเขียนคิดได้ไง เกี่ยวกะมาสโลว์ (สุดยอดๆ)
เท่าที่เคยเจอมา เห็นด้วยว่าที่นี่ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมได้ค่อนข้างสมบูรณ์มาก
สุขภาพก็ดีมาก กินแต่ผัก ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องโรคคนเมือง อย่างเบาหวาน
แต่บางที การที่เรียนจบแล้วไม่กลับบ้านก็เป็นผลดีนะ เช่น อาชีพสายแพทย์ ส่วนมากเป็น
คนเมือง พอเรียนจบก้อกลับไปทำงานที่บ้าน เลยเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เพราะว่าแถว
ชนบทจะไม่มีหมอเลย หรือมีน้อยมากๆ จนถึงปัจจุบันก้อยังแก้ไม่ได้ซักที อิ อิ
งืมมค่ะ เรียนจบแล้วอยากกลับบ้าน แต่เหมือนแถวบ้านจะไม่มีอะไรให้ทำ
(หรือว่าเรามองข้ามไปเองก็ไม่รู้เนอะ)
ไม่ชอบสังคมเมืองเลย แก่งแย่ง แข่งขัน วุ่นวาย เหนื่อยเนอะ อิอิ