เรื่องของญาที่คุณสติได้ลงมือสอนแบบจิตอาสาเอาไว้นั้น ทำให้ฉันมีมุมเรียนรู้ขึ้นมาอีกมุมหนึ่งในส่วนของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ ทำหน้าที่หัวหน้า จึงเขียนบันทึกนี้ขึ้นมาชวนไปเรียนรู้ด้วยกันค่ะ
นับตั้งแต่ร.พ.ผ่านการประเมิินและรับรองคุณภาพ ร.พ.ก็วางระบบไว้ให้้ใครทั้งในและนอกองค์กรมีส่วนร่วมในการประเมินผลการ พัฒนาตนของคนในองค์กรได้
ระบบที่วางไว้เรียกกันว่า "ระบบบริหารความเสี่ยง" ซึ่งมีกระบวนวิธีให้องค์กรได้รับรู้เรื่องราวเพื่อประเมินตนเองผ่านรายงาน ข่าวที่ผู้คนทั้งในและนอกองค์กรต้องการสื่อข้อมูลให้ได้รับรู้ ใบรายงานข่าวนี้เรียกกันในร.พ.ว่า "รายงานอุบัติการความเสี่ยง" เพื่อเอื้อให้ผู้ทำงานทุกระดับสามารถเขียนรายงานนี้ส่งเข้าสู่ระบบได้ทั้ง โดยเปิดเผยตัวและไม่เปิดเผยตัว
พฤติกรรมของผู้คนในด้านต่างๆ เป็นเรื่องหนึ่งที่ร.พ.ให้ความสำคัญ ระบบจึงได้วางข้อกำหนดไว้ว่า หากมีเหตุการณ์ปะทะอารมณ์ระหว่างกันของผู้คนในองค์กรเกิดขึ้น ให้ถือเป็นความรุนแรงระดับสูงสุดที่ผู้บริหารระดับสูงพึงได้ทราบทันที
ถือเป็นความสำคัญที่ให้กับความสามารถของคนต่อการจัดการอารมณ์ส่วนบุคคลของตน ถือเป็นความสำคัญที่องค์กรตื่นตัวว่าจะไม่ยอมให้บุคคลเป็นเหยื่อของระบบอะไร ที่เกิดขึ้นจากการบริหารองค์กร
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับญาได้ชวนให้ฉันกลับไปเปิดลิ้นชักความจำคว้าผลงานชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมาทบทวนใหม่ การทบทวนนี้้ผุดพรายคำถามขึ้นมาถามตัวเองว่า คู่กรณีของญาเธอเป็นเหยื่อรึเปล่า เหยื่อของระบบอะไรกันเล่า ชวนให้ค้นหา ยังไม่รู้คำตอบในขณะที่เขียนบันทึกนี้หรอกนะขอบอก
นอกจากเรื่องของคู่กรณีของญาที่เอ่ยถึงคนนี้ ยังมีอีกคนที่มาร่วมแสดงโจทย์ให้ค้นหาคำตอบไปด้วย
โจทย์ที่สองเกิดขึ้นในตอนบ่าย ขณะที่จะพาตัวไปร่วมประชุมเรื่องมาตรการเสริมขวัญกำลังใจการทำงานที่เกี่ยว ข้องกับไข้หวัดใหญ่ให้กลุ่มพยาบาลเด็กๆ
สองสาวลูกจ้างในฝ่ายก็มาปะหน้าพร้อมท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ ได้ยินเสียงเกี่ยงกันว่า "ถามหมอดูซิ" ดังอยู่ต่อหน้า เดารู้ว่าไม่กล้าถาม ฉันจึงบอกกลับไปว่า "มีอะไรจะถาม ก็ถามมาเถอะ" จบคำก็มีเสียงบอกเล่า็พรั่งพรูออกจากปากแทนคำถาม "หนูได้ยินเรื่องราวมาว่า ร.พ.จะให้โอกาสฝ่ายต่างๆไปดูงาน ก็เลยเข้าไปถามไถ่คนเป็นแม่งานว่า คนในฝ่ายเราจะมีเอี่ยวได้ไปด้วยไหม พี่เขาบอกกลับมาว่า ฝ่ายเธอฉันตัดทิ้งไป เพราะขี้เกียจมีปัญหากับนายของเธอ"
แล้วความคิดก็นำพาให้ระลึกไปถึงเหตุการณ์ช่วงหนึ่งระหว่างกิจกรรม "เพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา" เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ฉันจัดมันด้วยความปรารถนาที่ตั้งไว้ว่า อยากช่วยให้คนพ้นความเป็นเหยื่อของความทุกข์ มีความสุขกับชีวิตของตัวเองมากขึ้นๆ
ไหนก็พูดถึงเรื่อง "เพิ่มทุนชีวิตฯ" แล้วก็เลยขอนำเรื่องราวของ "เพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา" บางช่วงมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งละกัน
................................................
".........คนที่โดนป่วนก็มีกันทั้งหมด 30 ชีวิต มาจากหลายๆส่วนของร.พ. ไม่มีแพทย์อยู่ในกลุ่มนี้"
" เริ่มต้นกิจกรรมกันด้วยแนะนำกระบวนกรและความเป็นมา ซึ่งสาวตาไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่า วันนี้เป็นเรื่องของการนำพาเพื่อเรียนรู้ตำราชีวิตส่วนบุคคลของแต่ละคน แล้วโยนไมค์ให้น้องสาวทั้งสามว่ากันเองเรื่องแนะนำตัว อยากบอกอะไรกับพวกเขาก็บอกเอาเอง…"
" ในช่วงต้นของเช้านี้ น้องสร้อยเริ่มด้วยให้ฝึกนั่งท่ากางขาแบบคนคลอดลูก น้องอึ่งมากระซิบบอกว่า ไม้เด็ดนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมเริ่มหลุดเปลือกออกไปบ้างแล้ว แล้วน้องอิ่มก็ต่อด้วยกิจกรรมวาดภาพตัวเองแล้วให้ควานหาและสร้างสัมพันธ์ ไผอยู่ที่ไหน ไผเป็นใคร ชอบอะไร รู้สึกถึงฐานกายของตัวเองว่าเหมือนดารายอดนิยมคนไหน นำพาคนเข้าร่วมทุกๆคนรวมทั้งกระบวนกรค่อยๆก้าวเดินเข้าสัมผัสความเป็นเจ้า ตัวน้อย"
" แล้วก็ถึงกิจกรรมย้อนรำลึกถึงวิถีที่ผ่านมาของตัวตนนำพาความใคร่ครวญ เข้ามา ใกล้ชิด ฉีกกระดาษไปเรื่อยๆระหว่างนึกย้อนไป แล้วให้จับคู่เล่าสู่กันฟังทีละคน"
" มีบางคนที่อาจจะเคยได้ผ่านกิจกรรมของสุนทรียสนทนามาครั้งหนึ่งแล้วหรือเคย ได้ยินเรื่องราว กล่าวให้ได้ยินว่า หนูจะไม่มีวันเศร้าเด็ดขาด ประโยคนี้ทำให้มีเอ๊ะในใจ บรรยากาศแห่งความปลอดภัยเกิดขึ้นในระหว่างคู่ ทำให้มีหลายคนช้าลงจนสามารถนำพาตัวเองไปแตะสัมผัสตัวตนข้างในได้"
เดิม ที่คิดกันไว้ว่าจะนำกิจกรรมกระจกมาใช้หลังจากนี้ แต่เอาเข้าจริงอิ่มตัดสินใจไม่ต่อกิจกรรมด้วยกิจกรรมกระจก แต่นำพาเขาต่อไปด้วยการให้เขาได้รู้จักกับผู้นำสี่ทิศ ผสมผสานกิจกรรมระหว่างการวาดภาพไปกับการเล่าสู่กันฟังในรูปของวงสนทนา 2 รอบ นำพาให้ผู้เข้าร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนให้เหตุผลกับความชอบไม่ชอบที่จะเป็นตัวตน แต่ละชนิดของตนเอง แล้วก็พักกินกลางวันกัน"
" บ่ายของวันนี้ อุ้ยเริ่มต้นนำพาด้วยโยคะเพื่อนำพาให้ผู้เข้าร่วมรวบรวมพลังชีวิตเพื่อหล่อ เลี้ยงตัวตน แล้วอิ่มก็ต่อด้วย voice dialogue เพื่อนำสู่บทเรียนทิ้งไพ่ ซึ่งจะทำให้ผู้มาเข้าร่วมสามารถเข้าถึงตัวตนได้ลึกขึ้นกว่าเดิม สองสาววางแผนให้สาวตาเป็นตัวกวนในการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้มีเพิ่มขึ้น ผู้มาร่วมหลายคนหลั่งน้ำตาและมาโอบกอดสาวตา บางคนกล่าวขอโทษเบาๆพร้อมเสียงสะอื้นไห้"
" การได้สัมผัสกับบรรยากาศผ่อนคลายและรับรู้เสียงแรกในใจต่อความปลอดภัยที่เขา มี ทำให้เขาสงบนิ่งยิ่งขึ้นเมื่ออุ้ยนำพาต่อด้วยบทนำพาให้อยู่กับตัวเองรำลึก ถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ตัวกวนที่อุ้ยใช้นำพาคือ "ความรู้สึกที่มีต่อแม่" หลังจากนั้นก็นำพาให้ใครบางคนที่ยังขัดเขินกับการแสดงออกซึ่งความซื่อตรงต่อ ความรู้สึกของตัวเอง ได้มีโอกาสหน่วงและสัมผัสตัวตนของตัว การโอบกอดซึ่งกันและกันจึงเกิดตามมา แม้จะไม่จากทั้งหมดก็ตาม"
" มีใครบางคนที่ยังกลัวอยู่ไม่กล้าลงมือทำสิ่งที่ตนเองปรารถนา เมื่อสาวตาวิ่งตามไปขอกอด เขาก็สะอื้นไห้รับรู้ว่าใจเขาเปิดออกแล้วอย่างผ่อนคลาย"
"การค้นหาความหมายของชีวิตที่ตัวตนซึ่งเขาให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ว่ากับใครก็ตามได้เริ่มขึ้นแล้ว"
น้องอิ่มต่อด้วยกิจกรรมเขียนสาส์นถึงเจ้าตัวใหญ่ นำพาให้แสดงความขอบคุณเจ้าตัวใหญ่ ขอนำพาเจ้าตัวเล็กมาอยู่ร่วมด้วย หลังจากนั้นก็ตบท้ายด้วยการนำพาให้อยู่กับตัวเองด้วยการเดินไปเดินมาอย่าง ที่ใจต้องการ แล้วนำพาให้เกิดการแลกกอดซึ่งกันและกัน แต่ก็ยังมีคนที่ยังกลัวต่อการแสดงออกซึ่งความรู้สึกตรงของตนออกมาให้คนอื่น รับรู้ ทั้งๆที่รับรู้และซื่อตรงกับตัวเองแล้วว่ามีความรู้สึกอย่างไร"
" แม้ว่าหลายคนจะผ่อนคลายและใจเปิดแล้ว แต่ก็มีใครอีกหลายคนที่ยังคงอยู่ปิดใจอยู่ จนไม่สามารถนำพาตัวเข้าไปสัมผัสโลกภายในของตัวเองได้ ใครๆหลายคนเหล่านี้ได้รับการดูแลจากอุ๊ยและครูใหญ่เป็นการเฉพาะตัวอยู่หลาย คน....."
" ผลงานวันต่อมา เป็นเรื่่องราวที่ผู้คนที่เข้าร่วมได้เรียนรู้โลกภายในเพิ่ม โดยครูใหญ่และน้องอิ่มคอยชี้ชวนให้้เชื่อมโยงไปถึงเรื่องวันวานที่ผ่านพ้นมา แล้ว"
" เมื่อกิจกรรมใกล้จะจบสิ้นลง ทุกผู้คนที่เข้าร่วมได้มีโอกาสกล่าวความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้โลก ภายในแห่งตนออกมาให้ร่วมรับรู้ ซึ่งก็มีหลายคนที่หลั่งน้ำตา และก็มีหลายคนที่ยังมีความกลัวและไม่กล้าเอ่ยความในใจออกมาแต่ก็ต้องเอ่ย .........ทุกคนกล่าวว่ารู้สึกดีกับการที่ได้เข้าร่วม"
..................................
เหตุที่ย้อนไปเปิดลิ้นชักความจำและคว้าเรื่องนี้ออกมาใหม่ ก็ด้วยเอะใจกับอะไรบางอย่าง ด้วยเหตุว่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้คนที่เคยเข้าร่วมกิจกรรม "เพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา" กันมาแล้วทุกคน โดยหนึ่งสาวที่ทำให้ญาน้ำตาตกและหนึ่งสาวที่ทำให้ลูกน้องสองสาวมาบอกเล่า เพื่อหาคำตอบเรื่องการดูงานจากฉันคือผู้ที่อุ๊ยและครูใหญ่ลงทุนนั่งคุยประกบ ตัวแบบตัวต่อตัวในระหว่างกิจกรรม "เพิ่มทุนชีวิตฯ"
เรื่องราวของ "ร่องอารมณ์" ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันมีอะไรที่ตอบคำถามเรื่องการเป็นหยื่อของระบบรึเปล่า รึว่าเป็นแค่เพียงการตกอยู่ในร่องอารมณ์เพราะคนไม่ฝึกตน รึว่าอะไรกันแน่
ขอชวนเชิญผู้เข้ามาอ่านร่วมถอดบทเรียน และชี้ชวนมุมเรียนรู้ที่จะมีประโยชน์ให้กับทีมกระบวนกรด้วยกันค่ะ
24ก.ค.2552
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
คิดถึงจัง...
........
น้องคิดว่าพี่หมอเจ๊คงมีคำตอบแล้ว สำหรับ ร่องอารมณ์ ที่ว่านั้น...
........
เหยื่อของระบบ? นิสัย? ความคับข้องใจ? สิ่งที่ซ่อนไว้และเผยตัว?....
การอบรมเพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา เพียงครั้ง สองครั้ง หรือหลายครั้ง อาจไม่ได้ช่วย เพิ่ม่ทุน เลย ....
เพราะทุกคนล้วน ขาด มีทุนทางอารมณ์ ความรู้สึก การปรับตัวไม่เท่ากัน .... และโดยเฉพาะ หากการเปลี่ยนนั้น ไม่ได้เกิดจากการใคร่ครวญลึกซึ้งแล้ว ... ยากจะเปลี่ยนได้...
แต่อย่างน้อยการที่พี่หมอเจ๊จัดอบรมนี้ ก็ขอให้มั่นใจได้ว่า...ช่วยเพิ่มทุนให้เขาเหล่านั้นแล้ว
รักษาสุขภาพนะคะ
คิดถึงค่ะ
(^___^)