เปิดคำวินิจฉัยกฤษฎีกาขั้นตอนการถวายฎีกายุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม |
เปิดคำวินิจฉัยกฤษฎีกาขั้นตอนการถวายฎีกายุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"-เนื่องจากมีข้อถกเถียงกันมากเกี่ยวกับการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่ากระทำได้หรือไม่ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงขอนำเรื่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเคยวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2497ในช่วงที่นาย หยุด แสงอุทัย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ มานำเสนอ
---------------------
บันทึก เรื่อง การถวายเรื่องราวร้องทุกข์ (เลขเสร็จ272/2497
ตามหนังสือของกรมสารบรรณ คณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารที่ 12545/2497ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2497 แจ้งว่า ในการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ของราษฎรนั้น ได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 32 บัญญัติไว้ว่า บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกัน ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติและได้มีพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ.2492 กำหนดเงื่อนไขและวิธีการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ไว้แล้ว แต่ยังปรากฏว่าราษฎรได้ทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์หรือทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาขอให้พระมหากษัตริย์ทรงปลดเปลื้องทุกข์อยู่อีก
ท่านนายกรัฐมนตรี(จอมพล ป.พิบูลสงคราม -ขยายความโดย กองบรรษธิการ)พิจารณาเห็นว่า ควรจะมีระเบียบที่ถูกต้องเพื่อถือเป็นทางปฏิบัติต่อไป และให้ถามคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า จะต้องทำประการใดเพื่อประกาศให้ทราบทั่วกันสืบไปนั้น
คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายกองที่ 1) ได้ตรวจพิจารณาแล้ว ขอเสนอดังต่อไปนี้
เมื่อพิจารณาหนังสือของกรมสารบรรณคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหารข้างต้นประกอบกับคำชี้แจงของผู้แทนสำนักคณะรัฐมนตรีแล้ว พอจะสรุปปัญหาอันเป็นจุดประสงค์ที่ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเรื่องนี้ได้เป็น 2 ประเด็น คือ
ก. เมื่อมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 32 ดังกล่าวข้างต้น และได้มีพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ.2492 บัญญัติเงื่อนไขและวิธีการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ไว้แล้วเช่นนี้ ราษฎรจะทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์นอกเหนือไปจากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวได้หรือไม่
ข. ถ้าหากราษฎรทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์นอกเหนือจากบทบัญญัติของพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ได้แล้ว จะต้องปฏิบัติประการใดจึงจะไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย
1. สำหรับประเด็นข้อแรกนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า สิทธิในการยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อประมุขของประเทศนั้นเป็นสิทธิมูลฐาน (fundamental right) ของราษฎรแห่งประเทศนั้น ๆ และสำหรับในระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ราษฎรก็ย่อมมีสิทธิทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์หรือทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้
แม้แต่ในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเช่นว่านี้มาเก่าแก่ก็ยังมีการยอมรับนับถือสิทธิในการยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ของราษฎรโดยมีบทบัญญัติดังกล่าวไว้ใน bill of rights อันเป็นกฎหมายประกาศรับรองสิทธิและเสรีภาพของราษฎรว่า ราษฎรย่อมมีสิทธิที่จะทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์และบรรดาการจับกุมฟ้องร้องเพราะการร้องทุกข์เช่นว่านั้น ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย (It,is the right of the subjects to petition the king,and all commitments and prosecutions for such petitioning are illegal.)
สำหรับประเทศไทย พระมหากษัตริย์แต่โบราณกาลก็ทรงเปิดโอกาสให้สิทธิแก่ราษฎรที่จะทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์หรือทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาต่อพระองค์ได้เสมอ ดังปรากฏหลักฐานจากศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า ......ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้ให้ ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้....... และเป็นพระราชจริยาวัตรที่พระมหากษัตริย์ในรัชสมัยหลัง ๆ ได้ทรงยึดเป็นประเพณีในการทรงรับเรื่องราวร้องทุกข์ของอาณาประชาราษฎร์อยู่ตลอดมา ดั่งเช่นที่ปรากฏในพระราชกฤษฎีกาวางระเบียบการทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ลงวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2457
อนึ่ง แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีกฎหมายบางฉบับรับรองสิทธิเช่นว่านี้บัญญัติอนุญาตให้ราษฎรทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์ได้ด้วย
ฉะนั้น แม้จะมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 32 บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้และมีพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ.2492 บัญญัติเงื่อนไขและวิธีการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ไว้แล้วก็ตาม ก็หาเป็นการตัดสิทธิของราษฎรที่จะทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวร้องทุกข์หรือทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของประเทศไม่
2. ประเด็นในข้อที่สองซึ่งเป็นปัญหาในทางปฏิบัติว่า จะพึงดำเนินการเกี่ยวแก่เรื่องราวหรือฎีกาประการใด จึงจะไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า
ก. ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้สิทธิแก่บุคคลที่จะทูลเกล้า ฯถวายเรื่องราวหรือฎีกาได้ การปฏิบัติของทางราชการก็ต้องดำเนินไปตามวิธีการที่กฎหมายนั้น ๆ ได้บัญญัติไว้ เช่น กรณีที่ผู้ต้องรับโทษอาญาถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ การปฏิบัติก็ต้องดำเนินไปตามความในมาตรา 261 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากล่าวคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต้องนำฎีกานั้นทูลเกล้า ฯ ถวายพร้อมทั้งความเห็นว่า ควรจะพระราชทานอภัยโทษหรือไม่
แต่ถ้าเป็นกรณีที่กฎหมายเพียงแต่บัญญัติไว้ให้ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาได้โดยมิได้บัญญัติวิธีการอะไรไว้ เช่น การร้องทุกข์เกี่ยวกับการเนรเทศตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเนรเทศ ร.ศ.131 มาตรา 4 ก็เห็นว่า ควรเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวแก่กิจการนั้นจะทูลเกล้า ฯ ถวายความเห็นเพื่อทรงพระราชวินิจฉัยทำนองเดียวกัน
ข. ในกรณีการถวายเรื่องราวหรือฎีกาเกี่ยวแก่กิจการที่ฝ่ายบริหารได้ปฏิบัติไปตามบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งบัญญัติให้กระทำในพระปรมาภิไธยหรือโดยพระบรมราชโองการ เช่น กรณีเกี่ยวแก่การแต่งตั้งหรือถอดถอนข้าราชการตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดีหรือเทียบเท่า เป็นต้น รวมทั้งกรณีเกี่ยวแก่การบริหารราชการอื่นใด รัฐบาลย่อมจะพิจารณาสอบสวนและดำเนินการไปตามที่เห็นควรได้ แล้วกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
ค. ในกรณีเกี่ยวแก่การขอพระมหากรุณาเป็นการส่วนพระองค์ ย่อมเป็นเรื่องที่สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตามพระราชอัธยาศัย
อนึ่ง เห็นสมควรกล่าวไว้ด้วยว่าในกรณีดังกล่าวข้างต้น หากจะมีพระบรมราชโองการหรือพระราชหัตถเลขาประการใดอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินแล้ว ก็จะต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 98 ด้วย
ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1249543681&grpid=no&catid=02
จากคุณ | : nookookai8 |
เขียนเมื่อ | : 6 ส.ค. 52 22:10:48 A:110.164.22.9 X: |
1. ฎีกาดังกล่าวมิใช่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญามาตรา 259-267
และขัดต่อพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 23 ที่ห้ามมิให้ถวายฎีกา
เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ได้พิจารณาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
และมิใช่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งผู้ขอจะต้องเป็นผู้ถูกพิพากษาลงโทษ
หรือบุคคลในครอบครัว และไม่มีช่องทางใด
ที่พระมหากษัตริย์จะพระราชทานอภัยโทษตามที่ฎีกาดังกล่าวร้องขอได้
2. ฎีกาดังกล่าว มิใช่ฎีการ้องทุกข์เพื่อขอความเป็นธรรมที่อาจกระทำได้
ตามโบราณราชนิติประเพณี ซึ่งจะต้องเป็นการขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ
เพื่อให้มีความช่วยเหลือหรือบรรเทาความเดือดร้อนโดยส่วนตัวของผู้ถวาย
การถวายฎีกาของคนเสื้อแดง
มีความมุ่งหมายให้พระราชทานอภัยโทษแก่ตัว
พ.ต.ท.ทักษิณฯ ซึ่งมิใช่ผู้ขอถวายฎีกา
3. ฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาที่มุ่งประสงค์ทำให้พระมหากษัตริย์
ทรงใช้พระราชอำนาจก้าวล่วงองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย
โดยขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ
ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งเด็ดขาดแล้วให้จำคุก และยังคงมีคดีค้างอยู่ระหว่าง
การพิจารณาของศาลฎีกาอีกหลายคดี ที่อยู่ระหว่าง การสืบพยาน
และทั้งที่ศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว และได้ออกหมายจับตัว
พ.ต.ท.ทักษิณฯ มาดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป
ทั้งยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ
เพื่อรอส่งฟ้องต่อศาลอีกเป็นจำนวนมาก
ซึ่งในหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เช่น สเปน พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง
ถ้าประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี ขออภัยโทษให้กับนักการเมือง
เพื่อให้องค์ประมุขใช้พระราชวินิจฉัยอย่างหนึ่งอย่างใด
เท่ากับเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยเกินขอบเขต ฉะนั้นหลายประเทศ
ที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่รับเรื่องของการอภัยโทษให้กับนักการเมือง
บางประเทศที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคอรัปชั่น
ก็จะยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นการถวายฎีกา
หรือการร้องทุกข์ สาระจึงอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นนักการเมือง
และเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังคงมีคนนิยมชมชอบ
เหล่านี้จะเป็นเหมือนการ ใช้อิทธิพลทางการเมืองกดดัน
ให้การพิจารณาเรื่องนี้เป็นไปในทางบวกแก่ตัวเอง
การขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ
ซึ่งเป็นทั้งจำเลยที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีอีกหลายคดี
และเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกา
จึงเป็นเรื่องที่มุ่งหมายต้องการให้พระมหากษัตริย์ก้าวล่วง
เข้าไปใช้อำนาจแทนตุลาการโดยตรง ซึ่งไม่อาจกระทำได้ตามกฎหมาย
4.ฎีกาดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองอย่างชัดเจน
โดยได้บรรยายความขัดแย้ง และความเชื่อทางการเมืองของผู้ร่าง
ที่ระบุว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ที่ผ่านมาได้รับความไม่เป็นธรรม
และถูกกลั่นแกล้งจากองค์กรผู้ใช้อำนาจทั้งหมด
ทั้งจากรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา องค์กรตุลาการ และจากกลไกอื่นๆ ของรัฐ
ทั้งที่ได้มีคำพิพากษาของศาลสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาดว่า
เป็นการกระทำโดยทุจริตและละเมิดกฎหมายบ้านเมืองหลายประการ
ฎีกาดังกล่าว จึงเป็นการนำเอาข้อขัดแย้งในทางการเมือง
ที่มีผู้เห็นแตกต่างกันอยู่หลายฝ่ายขึ้นกราบบังคมทูล
ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย
อันเป็นเรื่องไม่บังควรเป็นอย่างยิ่งและเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์
มาสู่ความขัดแย้งเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองโดยตรง
5.ฎีกาดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้ร่างชักชวนให้ประชาชนมาร่วมลงชื่อ
ได้ทราบอยู่แต่ต้นว่าโดยเหตุทั้ง 4 ประการที่กล่าวมา
ย่อมไม่อาจมีพระราชวินิจฉัยในทางหนึ่งทางใดได้
แต่มุ่งหวังว่าเมื่อมีประชาชนสุจริตจำนวนมากที่ไม่ทราบข้อกฎหมาย
และธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องนี้ มาร่วมลงชื่อในฎีกา
ซึ่งจะทำให้เกิดความกดดันและมีความคาดหวังว่า
จะได้มีพระราชวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวตามที่ร้องขอ
ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้
เมื่อสถานการณ์เป็นไปดังกล่าว จะทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก
ในหมู่ประชาชนผู้ไม่ทราบหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
และธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องนี้ กับประชาชนโดยทั่วไป
และกับสถาบันสูงสุด ของชาติ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจและคับข้องใจ
1 ฎีกาทักษิณไม่ใช่ฎีกาอภัยทษตามวิอาญา
2 ฎีกานี้เป็นฎีการ้องทุกข์ทั่วไป
3 ไม่มข้อความตอนใดในพระราชกฤษฎีกาวางระเบียบการทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ลงวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2457 ว่าทักษิณต้องลงชื่อ
4 ประชาชนได้รับความทุกข์อันปลดเปลื้องไม่ได้ จึงขอให้ช่วยทักษิณไม่ทางใดทางหนึ่ง ซึ่องาจนำไปสู่การอภัยโทหรือนิรโทษกรรมได้
รัฐบาลกำลังทำผิดกฎหมายที่ไปตีขอบกันระหว่างประชาชนกับในหลวง ความทุกข์ของคน 5.4 ล้านคน จะบอก ไม่ฟังไม่ได้ เพราะ รัฐบาลมีคนค้านไม่ถึงสองหมื่น ใช้วิธีคัดชื่อคนจากทะเบียนบ้านมาค้าน แต่พอไปดุฟอร์ม ลายมือชื่อเดียวกัน ไม่แสดงบัตรประชาชน
เป็นการทำลายสถาบันเบื้องสูง และกีดกันไม่ให้พระราชาใช้พระบรมวินิจฉัยได้เอง จึงมองได้ว่า รัฐบาลนี้อาจจะคิดการไม่ชอบ