เช้าวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2552 ข้าพเจ้าได้นั่งรถที่รับความเมตตาจากองค์พระหลวงตามหาบัวที่บริจาคให้กับทางโรงพยาบาล จัดว่าเป็นรถที่ใหม่ที่สุดในโรงพยาบาล เดิมทีนั้นหมอสุพัฒน์และน้องเปิ้ลจะมาส่งที่เชียงใหม่ แต่เนื่องด้วยว่าขาดแพทย์ไปหนึ่งคนอย่างกระทันหันทำให้หมอสุพัฒน์ต้องรับภาระหน้าที่ในการทำงานแทนถึงสามวัน
แต่ในการเดินทางนี้ก็ไม่ได้ทำให้ "ชีวิต" ของข้าพเจ้าขาดการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการเสพสุนทรียแห่งความงามของสองฟากฝั่ง พี่ซน...ทำหน้าที่ทั้งขับรถและเชิญชวน พร้อมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านการเดินทางทำให้ข้าพเจ้าได้เกิดการเรียนรู้อย่างประทับใจ...ในการเดินทางของช่วงเช้าวันดังกล่าว
น้องอ้อ...
เป็นพยาบาลที่เพิ่งลงเวรดึกมา แต่วันนี้ภารกิจที่สำคัญที่มากมายกว่ามาส่งข้าพเจ้า คือ การไปรับคนไข้ที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ ...เธอเล่าให้ฟังว่า "เป็นผู้ป่วยที่ญาติไม่เอาแล้ว และโรงพยาบาลที่บ้านก็ไม่รับ" ... แล้วเธอก็ไม่ได้เล่าในส่วนรายละเอียดนี้มากมายนัก แต่ต่างทิ้งให้ข้าพเจ้านึกภาพตามเรื่องราวไปเอง
น้องอ้อ...อาศัยช่วงเวลาแห่งการเดินทางนี้ คือ เป็นเวลานอนพัก ซึ่งก็มีพี่ๆ น้องๆ พยาบาลหลายท่านที่ต่างอาศัยวิถีชีวิตการงานดั่งที่น้องอ้อทำ... บางครั้งการนอนอาจจะไม่ได้นอนอย่างที่ควรนอน หากแต่อาศัยทุกห้วงเวลาเท่าที่เอื้ออำนวยให้ได้
ในเส้นทางที่ประกอบไปด้วย "เจ็ดร้อยกว่าโค้งนั้น" ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยจึงได้ถามพี่ซนไปว่า เวลาที่ขับรถ refer รับ-ส่งต่อผู้ป่วยนี่ มีความง่วงเกิดขึ้นบ้างไหม...
"ง่วงบ่ได่หรอกอาจารย์" ... อืม! โค้งติดๆ กันอย่างนี้ใครง่วงล่ะคือพลาดเลยล่ะ
ความเงียบปรากฏสักพัก...อาการเวียนศีรษะเริ่มปรากฏเล็กในความรู้สึกของข้าพเจ้า แต่ก็ไม่ได้มากเพราะยังประคองสภาวะสมดุลย์ภายในตนเองให้ได้มากที่สุด และข้าพเจ้าก็เลือกที่จะไม่หลับตา เพราะลองหลับตาแล้วอาการเวียนหัวเกิดขึ้นอย่างมาก...
การขับรถที่ลงดอย...และเผชิญกับโค้งเช่นนี้ ร่างกายต้องดีและแข็งแรงพอสมควร
"น้องๆ พยาบาล...เวลาที่นั่งรถมาส่งต่อผู้ป่วยนี่ คงไม่มีอาการเวียนหัวนะ" ข้าพเจ้ารำพึงรำพันไปด้วยความสงสัย...
"เวียนครับอาจารย์ เมารถก็เยอะ บางคนนะ...บีบแอมบูแบ็คไปด้วย อ้วกไปด้วยก็มีครับ"
"บางคนนะครับ...เอาหัวพาดไปกับผนังรถ ดมยา และขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือผู้ป่วยไปด้วย"
"บางทีก็สลับกันกับญาติก็มี..."
ในใจข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมและสงสาร พร้อมทั้งรับรู้ได้เลยว่าพี่ๆ น้องๆ พยาบาลที่นี่ ทำงานหนักพอสมควร จากเรื่องราวที่เวลาบางครั้งออกหน่วย ขึ้นดอย พร้อมกับเผชิญระยะทางแห่งการเดินทางที่ไม่ใช่หนทางที่ราบรื่นทางกายภาพ แต่ทุกคนก็ได้ทำหน้าที่นี้อย่างที่ไม่ได้ปฏิเสธ...
"บางทีไปรับคนไข้บนดอย...รถติดล่ม เดินทางต่อไม่ได้ เราก็ต้องพยายามหาวิธีเพื่อช่วยเหลือคนไข้ให้ได้มากที่สุด"
คำบอกเล่าต่างๆ ผ่านความพรั่งพรูของพี่ซนออกมา ...
ทำให้ข้าพเจ้าประจักษ์ต่อ...ภาพของภูมิประเทศที่อยู่เบื้องหน้า ผสานกับเรื่องราวที่ได้รับทราบมา หรือได้ฟังผ่านหมอโรงพยาบาล หมออนามัย และคนหน้างานท่านอื่นๆ
ทุกคนคือ คนหน้างานที่ทุ่มเท เริ่มตั้งแต่ผู้อำนวยการที่เป็นตัวอย่างแห่งความตั้งใจ ทุ่มเท และขยัน "หมออ๊อด ทำเป็นตัวอย่างของการความขยันทำงาน หมอจะทำงานเอื้อลูกน้องเสมอ อันไหนที่ทำให้น้องสบายขึ้นพี่อ๊อดจะทำทันที" นี่เป็นคำบอกที่หมอสุพัฒน์เคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง
"ที่นี่เราต้องเรียนรู้การผ่าตัดให้ผู้ป่วย ปฏิเสธเคสไม่ได้ เราต้องช่วย แต่ก็ทำให้โชคดีว่า เราได้พัฒนาตนเองในเรื่องนี้มากเลย ... "
"กว่าจะส่งต่อผู้ป่วยไปที่เชียงใหม่ นั่นน่ะก็ไม่ทันการณ์แล้ว เราจึงต้องช่วย..."
ข้าพเจ้าสำนึกในบุญคุณของบุคคลหลายๆ คนที่ไม่ทอดทิ้งคนทำงานต่างๆ เหล่านี้
ต่างเกื้อหนุนและสนับสนุนปัจจัยหลายอย่าง...
"ตอนที่ไปวัดหลวงตา ท่านเมตตามากให้ของมาเต็มรถเลย เป็นข้าวสาร เครื่องบริโภคต่างๆ เต็มหลังรถเลย" พี่ซนเล่าให้ฟัง "ในรถแทบจะไม่มีที่นั่ง เพราะท่านสั่งให้ใส่ของให้เต็มเลย...
การเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นมา
ผ่านบันทึกนี้ คือ กำลังใจและความรู้สึกชื่นชม
คนหน้างานทุกคนที่ต่างๆ ทำงานแห่งเมล็ดพันธุ์ที่ดีงามของจิตใจผ่านการงาน
ขอชื่นชมจากใจจริงๆ ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางสุขภาพเหมือนกัน เคยมีโอกาสได้ไปที่ ทีลอซู โดยทางรถยนต์ครั้งหนึ่งเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ อ้วกตั้งแต่ประมาณโค้งที่ 5-6 แต่เมื่อไปถึงที่หมายก็คุ้มจริง ๆ ขอเป็นำกลังใจให้สู้ต่อไปนะคะ
เข้าใจความรู้สึกมากๆค่ะ
เพราะเคยมีประสบการณ์นั่งรถ 2โค้ง(โค้งซ้าย โค้งขวา)มาแล้ว
แค่ไปเดินทางไปเที่ยวอย่างเดียวก็แย่แล้ว..นี่ต้องดูแลผู้ป่วยไปด้วย..สามารถจริงๆ
ความปรากฏและรู้สึกในความงานของการทำงานในทีมพยาบาลที่ทำงานบนดอยนี่...ซาบซึ้งตอนที่ตนเองได้นั่งรถกลับมาร่วมกับน้องพยาบาล คือ น้องอ้อ...ที่นั่งหลับมาตลอดทางเพราะเหน็ดเหนื่อยจากภาระกิจลงเวรดึก และยังต้องไปรับคนไข้ที่โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่...ก็เลยสงสัยว่าน้องเขาคงคุ้นชินกับเส้นทาง แต่เมื่อได้สอบถามจึงได้ทราบว่า จริงๆ แล้วๆ น้องๆ พยาบาลที่นี่ก็ยังมีสภาพคล้ายกับเราคือ การอยู่บนดอยไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่เวียนหัว... ดังนั้นจึงรู้สึกชื่นชมและซาบซึ้งกับความอดทนที่น้องๆ มีต่อการงานที่ตนเองรับผิดชอบ
เป็นกำลังใจให้ในการทำงานค่ะ ลำพังตัวเองไปเที่ยวก็แทบแย่ เวียนหัวบ่อยๆ แต่น้องต้องนั่งรถ refer ตามโค้งด้วย ดูแลผู้ป่วยด้วย เยี่ยมมากค่ะ
เราต่างมีหน้าที่ที่เหมือนกัน ต่างสถานที่กัน เมืองหลวงส่งต่อผู้ป่วยที่ต้องรักษาค่อ ที่ รพ.เฉพาะทาง กว่าจะไปถึง รถติดมากๆๆ เปิดไซเรน จนแสบแก้วหู รถยังไม่ขยับ บางครั้งต้องวิ่งสวนเลน ถ้าไม่ชนกันก่อนก็คงได้ถึงที่หมาย มีอยู่ครั้งนึง รถไม่ติดวิ่งได้สบายมาก
ปรากฏว่ามีถประชาชนวิ่งตามหลังมาเป็นแถวด้วยตวามเร็วมากๆ เพราะคิดว่าตามรถพยาบาลแล้วจะได้ไแเร็วๆ ปรากฎว่ามีรถวื่งตัดหน้ารถพยาบาล ทำให้ต้องเบรกกระทันหันปรากฏว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมีรถชนท้ายรถพยาบาลอีกหลายคันโดยเฉพาะ มอเตอรฺไซด์ มีกระดูกต้นคอหักตั้งแต่อันที่3 ลงมา พยาบาลในรถแขนหัก คนไข้ในรถบาดเจ็บหัวกระแทกไม่มาก สรุปงานนี้ได้ผู้ป่วยเพิามโดยไม่จำเป็น ไปไม่ถึงที่หมาย เพราะต้องย้าย รพ.กระทันหัน
เราต่างมีหน้าที่เหมือนกัน ต่างกันที่ ตรงนี้ไม่มีทางโค้งให้เวียนหัว
พยาบาล กทม.
สวัสดีครับคือผมขอสอบถามหน่อยครับ คือผมเป็นพยาบาลจบใหม่ แต่ผมอยากไปทำงานบนดอยที่ยังไม่เจริญ อยากไปช่วยชาวเขาต้องการไปอยู่ที่อนามัยบนเขาบนดอย พี่ ๆ พอจะมีคำแนะนำให้ผมบ้างใหมครับ ขอบคุณครับ