วันจันทร์ที่ผ่านมาเป็นเวรอ่าน
frozen
section ค่ะ
ต้องขอขยายความก่อนว่า frozen section ก็คือ การ
(ที่หมอปาโถ)ให้คำปรึกษา (แก่หมอศัลย์)ระหว่างการผ่าตัด
โดยขณะที่ผู้ป่วยถูกผ่าตัดอยู่นั้น
หมอศัลย์ต้องการทราบผลการวินิจฉัยทันทีเพื่อตัดสินใจว่าผู้ป่วยรายนั้นควรจะทำการผ่าตัดมากน้อยแค่ไหน
ตัวอย่างเช่น
ผู้ป่วยคนหนึ่งมาด้วยก้อนที่เต้านมซึ่งสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง
ในขณะที่ผู้ป่วยสลบอยู่นั้น
หมอศัลย์ก็จะผ่าลงไปเอาก้อนที่สงสัยส่งมาให้หมอปาโถตรวจว่า
เป็นมะเร็งหรือไม่ ถ้าหมอปาโถโทรรายงานกลับไปว่าเป็นมะเร็ง
หมอศัลย์ก็จะดำเนินการผ่าตัดต่อเพื่อเอาเต้านมทั้งเต้าออก
แต่ถ้าหมอปาโถบอกว่าก้อนนั้นไม่ใช่มะเร็ง คนไข้ก็ไม่ต้องโดนตัดเต้านม
กระบวนการตั้งแต่รับชิ้นเนื้อจากห้องผ่าตัดจนหมอปาโถโทรรายงานผลให้หมอศัลย์ทราบนั้นจะใช้เวลาไม่เกิน
30 นาที
ในขณะที่การตรวจชิ้นเนื้อทั่วๆไปใช้เวลาประมาณ 1 วันเป็นอย่างน้อย
วันจันทร์นั้นเป็นวันที่ต้องบันทึกว่า เป็นการทำ frozen ที่มาราธอนที่สุด
ใครจะเชื่อว่าเริ่มทำตั้งแต่บ่ายอ่อนๆ จนถึงเกือบหนึ่งทุ่ม
ด้วยสถิติตัวเลขจำนวนครั้งของการทำถึง
13 ครั้ง หมอศัลย์ตัดแล้วตัดอีก
หมอปาโถก็อ่านแล้วอ่านอีก โทรแล้วโทรอีก พร้อมกับภาวนาว่า
“พอได้แล้วๆ”
ผู้ป่วยรายนี้เป็นเด็กแรกเกิดค่ะ
เป็นโรค Hirschsprung’s disease
(อ่านว่าเฮิร์ช-สะ-ปรุง) อาการก็คือ
เด็กจะถ่ายไม่ออกตั้งแต่เกิดได้ไม่กี่วัน บางคนก็บอกว่า
ไม่ถ่ายขี้เทานั่นแหละค่ะ
เนื่องจากลำไส้ของเด็กเหล่านี้ไม่มีเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงาน
ทำให้ลำไส้ส่วนนั้นตีบแคบ อุจจาระไม่สามารถผ่านออกมาได้
เด็กก็เลยถ่ายไม่ออก การทำ frozen
ในเด็กเหล่านี้ก็เพื่อมองหาว่า ลำไส้ชิ้นเล็กๆ
ที่หมอศัลย์ตัดส่งมาให้หมอปาโถดูนั้นมีเซลล์ประสาทหรือไม่
ถ้าหมอปาโถรายงานว่ามี
หมอศัลย์ก็จะเย็บต่อปลายของลำไส้ส่วนนั้นเข้าหากัน
แต่ถ้าหมอปาโถบอกว่าไม่มีเซลล์ประสาท ก็เป็นโชคร้ายของทั้ง
หมอศัลย์และหมอปาโถ
เพราะหมอศัลย์จะต้องตัดไล่ส่วนของลำไส้ให้สูงขึ้นไปอีก
หมอปาโถก็ต้องตามอ่านสไลด์ของลำไส้ที่ตัดออกมานั้นจนกว่าจะเจอเซลล์ประสาท
แต่โชคร้ายที่สุดคงเป็นเด็ก
เพราะถ้าโดนตัดลำไส้ออกไปเยอะ ก็มีโอกาสเป็นเด็กลำไส้สั้น
ต้องให้อาหารทางหลอดเลือดแทนการกินอาหารตามปกติ
เหมือนเด็กน้อยคนนี้
ผู้ป่วยรายนี้โดนตัดลำไส้ใหญ่ทั้งหมดรวมถึงลำไส้เล็กส่วนปลายด้วย
และได้รับการทำ frozen ถึง 13 ครั้ง โดย frozen ครั้งที่
4 ถึงครั้งที่ 9
นั้นหมอศัลย์ทยอยตัดส่งตั้งแต่สี่โมงเย็น จนถึงหกโมงเย็นกว่าๆ
ซึ่งตามปกติทางหน่วยไม่ได้ให้บริการทำ frozen นอกเวลา
พอเสร็จชิ้นที่ 9
ฉันก็ถามว่าจะตัดส่งมาอีกหรือไม่ เพราะยังไม่เจอเซลล์ประสาท
หมอศัลย์ก็บอกว่าคงไม่ตัดเพิ่ม เนื่องจากเด็กโดนตัดลำไส้ไปเยอะมากแล้ว
ฉันเลยจัดแจงกลับบ้านเพราะรู้สึกปวดหัวหนึบๆ
เหมือนกับจะเป็นหวัด
แต่เหมือนมีลางสังหรณ์ค่ะ
ออกจากโรงพยาบาล เดินแวะไปซื้อกาแฟที่ข้างคณะเภสัชฯ
กะว่าจะเอากลับไปนั่งทานให้สบายที่ห้องพัก
ตอนเดินกลับก็มีโทรศัพท์จากแพทย์ใช้ทุนศัลย์ว่า ขอส่งตรวจ
frozen เพิ่มได้หรือไม่
ฉันตอบว่า
“ได้ค่ะ
เดี๋ยวจะเดินกลับไปดูให้”
ระหว่างทางเดินกลับก็แวะโทรศัพท์บอกน้องเจ้าหน้าที่ๆ เพิ่งแยกกันว่า
ให้เตรียมตัวทำ frozen และช่วยเปิดเครื่องตัด
frozen ไว้ด้วย
กลับขึ้นไปอ่านอีก
3 ชิ้นที่ทยอยๆ กันมาใน 1 ชั่วโมง เสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มตรง
ฉันเดินไปบอกน้องเจ้าหน้าที่คนนั้นว่า
“ไม่เป็นไรนะ
ทำเพื่อคนไข้”
น้องเขาตอบกลับมาให้ชื่นใจค่ะ
“ผมก็คิดอย่างนั้นล่ะครับอาจารย์
ทำเพื่อคนไข้”
นั่นก็คือ เรากำลัง
“ทำเพื่อคนไข้” นั่นเอง
ต้องช่วยกัน “เสริมแรง”
empower พวกเรากันหน่อยแล้ว
ชี้ประเด็นให้เห็นและให้รู้ว่าเขาคนนั้นกำลัง
ทำเพื่อคนไข้ ทำเพื่อคนไข้
ทำเพื่อคนไข้
ถึงแม้ว่าเราจะ "ทำเพื่อคนไข้" แต่ความสุขที่เราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น โดยที่เขาไม่ได้รู้นั้นมากมายยิ่งกว่า ไหมคะ
ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆจากการอ่านบันทึกนี้ค่ะ