กรมส่งเสริมการเกษตร ก็มี CKO ด้วยเช่นกันที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวและการขับเคลื่อนหลักการและกระบวนการ KM ไปสู่งานต่าง ๆ ของหน่วยงานย่อย
CKO ก็คือ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ฝ่ายวิชาการ (นายโอฬาร พิทักษ์) ในการนี้เมื่อวันที่ 18-20 พฤษภาคม 2552 คณะทำงานการบริหารองค์ความรู้ ร่วมกับกองวิจัยและพัฒนางานส่งเสริมการเกษตรก็ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติกาเรื่องแนวทางการจัดการความรู้ในงานส่งเสริมการเกษตร (ฉบับผู้ปฏิบัติ) ขึ้น ซึ่งท่านได้ให้เนวคิดในการปฏิบัติงาน สรุปได้ว่า.....
นายโอฬาร พิทักษ์ (CKO)
การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ได้ดำเนินการขึ้นภายใต้หลักคิดที่ว่า
1) ผู้เข้าสัมมนาคงจะเป็นแกนหลักในการขยายผลต่อ
2) การจัดการความรู้มิใช่เรื่องใหม่
3) การทำงานของกรมส่งเสริมการเกษตรจึงต้องอยู่บนฐานของความรู้ การดูแลทุกข์สุขให้กับเกษตรกร
ในอดีตเราใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานหลายอย่างเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร อาทิเช่น ปัจจัยการผลิต แต่วันนี้เราจะปฏิบัติโดยใช้องค์ความรู้สำหรับใช้ปฏิบัติงานของทหารราบในพื้นที่ให้ได้จากการส่งหมอเฉพาะทางเข้าไป อาทิเช่น คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงเป็นเสมือนหมอศัลยกรรม ที่จะเข้าไปช่วยทหารราบให้มีอาวุธติดตัว หมายความว่า เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรมีอาวุธอะไรติดตัวก็คือ องค์ความรู้ ที่จะทำให้อยู่กับชาวบ้านได้
“องค์ความรู้” มีหลากหลาย มีหลายมิติ จึงต้องเข้าใจในอาวุธของตนเองว่า มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน จึงต้องมีการจัดการประสิทธิภาพขององค์ความรู้ โดยนำการจัดการความรู้ มาจัดการกับอาวุธของเราเอง มีเป้าหมาย มีการหาประเด็นความรู้เพื่อตอบสนองเป้าหมาย มีการแลกเปลี่ยนของนักส่งเสริมการเกษตรซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงาน หน้าที่หลักของเราก็คือ นำหลักการมาจัดระบบให้มีประสิทธิภาพโดยนำประสบการณ์จริงมาใช้เพื่อจัดทำแนวทางการปฏิบัติที่เป็นทิศทางเดียวกัน
กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นหน่วยงานที่ทำงานทุกเรื่อง แต่มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงของการทำงานก็คือ ความต่อเนื่องในการดำเนินการมีค่อนข้างน้อย ขาดการจัดเก็บ ดังนั้น เราจึงต้องกลับมา “จัดระบบ” โดยการจัดการความรู้จะเข้ามาช่วยจัดการกับอาวุธให้ทำงานสู้รบได้เรียกว่า “คลังอาวุธ” เพื่อจัดทำคลังความรู้ หรือ KA ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการวางระบบ KA ให้มีประสิทธิภาพในการใช้ KM ที่เชื่อมโยงกันทุกระดับ การทำงานจึงต้องอธิบายได้และต้องเข้าใจในเรื่องที่ทำ นักส่งเสริมการเกษตรจึงต้องแปลงให้คนอื่นทำให้ได้ ทำให้คนเชื่อ ความเข้าใจในบทบาทนักส่งเสริมจึงต้องสื่อสารออกมาให้ได้เพื่อจะได้รู้ว่า เราทำอะไรบ้าง
ในวันนี้จึงอยากให้ทุกท่านเข้าใจเครื่องมือ ใช้เครื่องมือในแนวทางที่เป็นทิศทางเดียวกัน มีความกว้างและลึกในความรู้ ซึ่ งนักส่งเสริมจะโชคดีที่ได้พบ ได้เห็น ได้รู้สิ่งต่าง ๆ ที่เรียนรู้จากการ KS ได้มากมายโดยการฟัง ซึ่งทุกคนจะมีสิ่งที่ตนเองรู้และแลกกับคนอื่น ๆ ได้โดยนักส่งเสริมจะเป็นคนเชื่อมความรู้จากเซียนต่าง ๆ ไปสู่คนที่ไม่รู้ “กระบวนการ” จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดระหว่างกัน ช่วยในการขับเคลื่อนงาน นอกจากนี้ การจัดการความรู้ยังเป็นนโยบายหลักของกรมส่งเสริมการเกษตรที่จะช่วยกันดำเนินงาน โดยการจัดการความรู้ได้นำไปเป็นตัวชี้วัด จำนวน 3 เรื่อง คือ วิสาหกิจชุมชน Food Safety และศุนย์เรียนรู้การเกษตรพอเพียง
ดังนั้น กรมฯ ก็จะทำ 3 เรื่องดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้ จากการมีทีมงานสนับสนุนการจัดการความรู้ ที่จะไปผลักดันเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งทีมจะต้องมีความเข้าใจทั้งด้านความคิดและปัญญาหรือเรียนรู้ให้ลึกซึ้งก่อน จึงขอฝากทุกท่านให้ได้แลกเปลี่ยนกันอย่างที่ทำ ให้ได้ประโยชน์และบรรลุเป้าหมาย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ท่านจะเป็นทีมสนับสนุน เพื่อขับเคลื่อนงานให้เกิดผล” ต่อไป
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการเปิดเวทีในช่วงต้นปีงบประมาณ 2552 เพื่อทบทวน ทำความเข้าใจกับหน่วยงานย่อยต่าง ๆ ในกรมส่งเสริมการเกษตร เกี่ยวกับหลักการและกระบวนการจัดการความรู้ ที่ทุกหน่วยงานมีประสบการณ์ได้หันกลับมาทำความเข้าใจกับตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ได้ดำเนินการกัน "ภายในบ้าน...ของกรมส่งเสริมการเกษตร" ที่จะได้ก้าวเดินกันต่อไปได้.
นางสุกัญญญา อธิปอนันต์ (ประธานฯ KM)
ผู้เข้าสัมมนาฯ จากหน่วยงานต่าง ๆ
ทีมงาน/คณะทำงานฯ KM ของกรมฯ
ขอบคุณ "สิงห์ป่าสัก" ที่ให้กำลังใจค่ะ