เหมือน Blog
นี้จะกลายเป็น Blog ท่องเที่ยวไปแล้ว แหม
ก็ปิดเทอมนี่นายังไม่มีงานสโมฯเราเลยอยากเก็บเรื่องราวดีๆมาให้ทุกคนรับรู้ทั่วกัน
คราวนี้พวกเราหนีลงใต้กัน
เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้คือจ.ตรัง
เราออกเดินทางจากพล.แต่เช้าเพื่อจะเดินทางต่อด้วยรถไฟในตอนเย็น
และการเดินทางอันแสนยาวนานของเราก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงคนร้องขายอาหารในตอนเช้าบนรถไฟ
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นทิวทัศน์ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่สวนยางพาราก็ปลุกไฟในตัวให้ลุกขึ้นมาดูอะไรใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นวันนี้
เราลงทีสถานีห้วยยอด
อ.นี้เป็นอ.เล็กอยู่ห่างจากอ.เมืองประมาณ 40 กม.
จากตลาดห้วยยอดที่พักหาอาหารเช้าของเรา เราเดินทางไปอีกประมาณ 5 กม.
เพื่อเดินทางไป ถ้ำเขาเลกอบ ( เล-กอบ )
ถ้ำแห่งนี้เราเดินทางเข้าไปด้วยเรือพาย ลำนึงนั่งได้4-6คน ลำละ 200
บาท โดยจะมีคนพายเข้าไปให้ ภายในถ้ำมีถ้าแบ่งย่อยๆออกไปอีก
มีหินงอกหินย้อยมากมาย เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand เลยทีเดียว
จากความสวยงามในถ้ำต่างๆมาถึงถ้ำลอดที่คนพายบอกกับเราว่าไม่ต้องมาหาความสวยเพราะถ้านี้มีแต่ความเสียว
เพราะถึงนี้เพดานถ้ำต่ำมากจนเราต้องนอนราบไปกับเรือถึงจะพายผ่านถ้ำนี้ไปได้
คนพายบอกให้เรานอนเฉยๆร้องได้แต่ห้ามขยับตัวเพราะเข้าจะหลบหินให้เราเอง
ไอ้เราเห็นใกล้จะชนหินก็ยกแขนหลบ เป็นไงล่ะโดนหินเข้าเต็มๆ
พ้นจากถ้าลอดเราก็ดีใจที่รอดออกมาได้ เฮ้อ!!
จากนั้นเราเดินทางด้วยรถยนต์เหมาที่เค้าเรียกกันว่าแท็กซี่ไปอ.เมือง
คนขับแท็กซี่ใจดีพาเราวนชมรอบเมืองแถมเราไปสวนสาธารณะ3แห่งในตัวเมืองตรัง
ทำให้เราได้รู้ว่าคนตรังนี่ถ้าจะชอบออกกำลังกาย
เมืองไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนั้นแต่กลับมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ทุกมุมเมือง
จากนั้นเราเดินทางต่อด้วยรถตู้ประจำทางเพื่อเดินทางไปหาดปากเมงที่พักของเราคืนนี้ แวบแรกที่เห็นคือสัญลักษณ์ของหาดปากเมงคือ
เกาะที่เรียงตัวกันเป็นรูปผู้หญิงนอนหงาย
ก็ดูรูปแล้วจินตนาการเอาเองนะคะ สายลมพัดทิวสนแถวนั้น
วันนี้ลมค่อนข้างแรงเพราะเริ่มเข้าช่วงมรสุมแล้ว
พอเห็นน้ำทะเลชายหนุ่มน้อยหนึ่งเดียวของเราคงอดใจไม่ไหวกระโดดใส่เข้าเต็มๆส่วนที่เหลือขอเดินชมความงามของหาดปากเมง
เก็บแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้
สัญลักษณ์ของหาดปากเมง
เป็นรูปผู้หญิงนอนหงาย
วันต่อมาเราตื่นแต่เช้าเพื่อลงเรือท่องทะเลตรัง
เราเริ่มต้นที่เกาะมุกซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งคือ
ถ้ำมรกต
การที่จะเข้าถ้ำมรกตนั้นทำได้วิธีเดียวคือลอยคอเข้าไป
โดยคนนำทางจะลากพวกเราที่เกาะคอกันเป็นพวงเข้าไปในถ้ำ
ภายในถ้ำมืดมากเราเกาะคนหน้ากันแน่นกลัวว่าถ้าปล่อยแล้วเดี๋ยวเค้าจะหาเราไม่เจอ
แสงแรกจากปากถ้ำที่เข้าตาทำเอาพวกเราตื่นตาตื่นใจอยากจะเห็นไวๆ
ภายในถ้ำเป็นหาดทรายขนาดเล็กๆล้อมรอบไปด้วยเขา
ขึ้นไปด้วยต้นไม้มากมายที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ได้ เวลาออกก็ใช้วิธีเดิม
ที่ถ้ำนี้เรียกว่าถ้ำมรกตเพราะขาออกนี่แหละ
แสงแดดที่กระทบเข้ากับน้ำทะเลสีเขียว(ใสมากๆจิงๆขอบอก)ส่องประกายให้น้ำทะเลเป็นสีมรกตจริงๆ
เกาะต่อไปคือเกาะกระดาน(เป็นสถานที่ที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทร)เกาะนี้เด่นที่หาดทรายขาวสวย
น้ำทะเลใส (ก็ใสทุกเกาะแหละ) ต่อไปคือเกาะเชือก และเกาะม้า
เกาะ2เกาะนี้คล้ายๆกันขอเล่ารวมๆกันเลยนะคะ
ปะการังของที่นี่มีมากมายแต่สีสันไม่โดดเด่นนัก แต่ที่เด่นคือ
2เกาะนี้เต็มไปด้วยปลานานาชนิดเริ่มจากปลาง่ายๆที่พบเห็นบ่อยๆคือ
ปลาเสือ กับ ปลานกแก้ว ต่อไปเราก็เห็น ปลาวัว ปลาสิงโต
และปลามากมายอีกหลายชนิดที่เราไม่รู้จักชื่อ
ปลาที่นี่ไม่กลัวคนเลยว่ายใส่เราซะงั้น ขวางทางเต็มไปหมด
สีสันสวยงามของพวกมันทำให้เราลืมเวลาจนคนนำทางต้องตะโกนเรียกให้กลับเรือ
และเก็บภาพความประทับใจติดตัวไปด้วย
กลับถึงหาดปากเมงเราก็ไม่ยอมหยุดกับที่หามอเตอร์ไซค์กันเพื่อไปที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมซึ่งห่างออกไปประมาณ
8 กม. ไปดูพะยูนที่สต๊าฟไว้
สัตว์สงวนของไทยที่นับวันยิ่งลดจำนวนลง
เมื่อก่อนพะยูนพบได้มากในแถบนี้แม้แต่ชายฝั่งเองยังสามารถเห็นได้ง่ายๆ
เราก็ถามพี่เจ้าหน้าที่ว่าตอนนี้ยังเห็นอยู่ไหม
เค้าก็ตอบว่ายังมีอยู่เห็นได้เรื่อยๆเพราะมันต้องมากินหญ้าทะเลทุกๆ
5-10 นาที พวกเราก็ดีใจจะได้เห็นพะยูนแล้ว
แต่พี่ก็ตบท้ายทำลายความฝันของเราว่านั่งเรือไปไม่เห็นหรอกนะ
ต้องเอาเครื่องร่อนไป จบกัน ดูพะยูนสต๊าฟก็ได้
และแล้วความเหนื่อล้าก็พาพวกเราหลับลงในคืนนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นเช้าเช่นเคยเพราะวันนี้เราจะไปพายเรือแคนูล่องคลองเจ้าไหมชมป่าชายเลน
โดยต้องไปขึ้นเรือที่หาดยาวห่างออกไปประมาณ 28 กม.
เรือแคนูลำนึงนั่งได้ 3 คน โดยจะมีคนพายให้ลำละคน
แรกๆเราก็ช่วยเค้าพายดี หลังๆ ไม่ไหวแหะเมื่อยจัง
สักพักก็มีบริการเสริมมีเรือลากไปปล่อยเราที่ทางเข้าปากถ้ำให้เราพายต่อไปเอง
เริ่มด้วยถ้ำจระเข้ขาวที่มีเรื่องเล่าเป็นตำนาน
และต่อด้วยถ้ำเจ้าคุณที่ต่อปีนป่ายขึ้นไป
ชมหินงอกหินย้อยที่มีประกายระยิบระยับ และเราก็พายกลับทางเดิม
บรรยากาศภายในถ้ำเจ้าคุณ
จากนั้นเราก็เดินทางเข้าอ.เมืองตรังอีกครั้ง
มาตรังครั้งนี้จะพลาดทีเด็ดไปได้ยังไง เราจึงหาหมูย่างเมืองตรังมาชิมกันสักหน่อย
โดยผู้นำทางครั้งนี้เป็นคนขับตุ๊กตุ๊กหัวกบสัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองตรัง ตบท้ายด้วยของฝากคือเค้กเมืองตรังที่ขึ้นชื่อ
และก็ถึงเวลากลับบ้านซักที ไปก่อนนะบ๊ายบายเมืองตรัง
แล้วเราคงได้เจอกันใหม่
ความประทับใจจากทริปตรังครั้งนี้อาจบันทึกไม่ได้ด้วยภาพถ่ายเพราะจากภาพที่เห็นนั้นมองอย่างไรก็ไม่สู่เท่าตาเห็นเองจริงๆ
เล่าเท่าไรก็ไม่เห็นภาพเท่าเห็นเองจริงๆเช่นกัน
งั้นคงต้องบอกทุกคนอีกครั้งว่า "เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้"
(จริงๆนะ)
ป.ล.
ครั้งนี้เราพลาดเกาะเด็ดไปคือเกาะรอก และเกาะหลาวเหลียง
เพราะเป็นช่วงที่มรสุมเริ่งเข้าแล้ว เอาเรือออกไปไม่ได้
พี่ที่ไปด้วยจึงแนะนำให้เราไปเรียนดำน้ำกันก่อน
จะได้ไปถึงแบบถึงที่จริงๆไม่ตะขิดตะขวงใจอยากกลับมาใหม่
โดยพี่แนะนำให้ไปเรียนที่สัตหีบโดบมีทหารเป็นผู้สอน
สอนดีและไม่แนะนำให้เราเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเหมือนบ.เอกชน
แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความสมัครใจของแต่ละคนนะคะ
เอาล่ะงั้นคราวหน้าเจอกันแน่ แต่ขอเวลาไปเรียนดำน้ำก่อนน้า