หลังจากที่ได้อ่านบันทึกของพี่ตุ่น พี่หน่อย ในเรื่องของการท่องเที่ยวมาหลายบันทึกแล้วนั้นก็รู้สึกอยากจะเปลี่ยนมุมมองของตัวเองในการเขียนบ้าง ก็เลยลองเปลี่ยนจากการเขียนเรื่องการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆมาเป็นการเขียนสิ่งที่ได้จากการเที่ยวบ้าง ขออนุญาติพี่ตุ่น พี่หน่อยนะคะ การเขียนครั้งนี้อาจจะขัดๆกับบุคลิกของหนูไปอย่างสิ้นเชิง แต่ก็อยากให้ทุกท่านได้อ่านมุมมองความคิดของหนูในอีกแง่นึงบ้าง ว่าจะเขียนออกมาเป็นอย่างไร
Learning through Traveling "เที่ยวให้รู้เปิดประตูสมอง" หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับประโยคนี้มาก่อน ซึ่งที่มาของประโยคนี้คือ ชื่อหนังสือเที่ยวให้รู้เปิดประตูสมอง ที่จัดพิมพ์โดยบริษัทเอ๊กซ์พลอเรอร์ ชาแนล จำกัด ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ชุมชนจำนวน 48 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำขึ้นโดยมุ่งหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีส่วนช่วยเปิดประตูให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจรูปแบบการท่องเที่ยวเรียนรู้ชุมชนมากขึ้น แต่ในบันทึกนี้ประโยคที่ว่า Learning through Traveling จะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดการเรียนรู้ผ่านการท่องเที่ยว
หลายต่อหลายครั้งที่คนเราเลือกการพักผ่อนด้วยวิธีหนีความซ้ำซากจำเจด้วยการไปเที่ยว พักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่น้อยคนนักที่จะได้อะไรกลับมานอกจากการได้พักผ่อน จริงๆแล้วสิ่งที่ซ้อนเร้นอยู่ภายใต้การท่องเที่ยวนั้นมีมากมาย เพียงแค่เราเปิดโอกาสให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาถึงความรู้สึก แล้วเราจะได้อะไรกลับมามมากมาย โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนบันทึกชอบและหลงไหลการท่องเที่ยวอย่างมาก และทุกครั้งที่กลับมาจากการเที่ยวจะได้เรียนรู้และเกิดเป็นข้อคิดดีๆจากการไปเที่ยวเสมอ
การได้เพื่อนใหม่
หลายท่านอาจจะชอบไปเที่ยวเป็นกลุ่มเพื่อน กลุ่มที่ทำงาน หรือเข้าร่วมกลุ่มต่างๆตามเว็บไซต์ ซึ่งหากใครได้ลองเดินทางโดยปราศจากกลุ่มเพื่อนโดยการเที่ยวแบบหากลุ่มใหม่ สิ่งนี้จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนกลุ่มใหม่ การได้เป็นตัวของตัวเองโดยที่ไม่ต้องกังวลว่ามีใครที่รู้จักเรามาก่อนหรือไม่
การได้มิตรภาพ
ไม่ว่าท่านจะเลือกท่องเที่ยวแบบใดสิ่งที่ได้อยู่รอบตัวเรา คือมิตรภาพ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทาง คนขับรถ แม่ค้า ร้านอาหาร ถึงแม้จะเป็นเพื่อนเก่าที่ร่วมทางกันหลายทริปแล้วแต่สถานที่ บรรยากาศ จะทำให้เราได้สัมผัสกับมิตรภาพระหว่างเพื่อนหรือคนรอบข้าง -- การได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นเป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่งนะคะ
การได้พักผ่อน
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่แน่นอนที่สุดที่เราจะได้รับในการท่องเที่ยว คนเราชีวิตดำเนินไปตามกรอบของสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และหน้าที่ เช่น ในหนึ่งวันคือ นอน ทำงาน กิน นอน และการพบเจอห้องสี่เหลี่ยมอันคุ้นเคย แต่หากการออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ แสงแดด สายลม ท่ามกลางแมกไม้ธรรมชาติที่สร้างสรรค์อย่างลงตัวโดยปราศจากการแต่งแต้มใดๆ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความสุขให้เราได้อย่างน่าอัศจรรย์ "เพียงแค่คิดเรื่องเที่ยวก็มีความสุขแล้ว" ซึ่งการได้พักผ่อนถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือการได้ชาร์ทแบตให้ชีวิตเรานั่นเอง
" แต่บางครั้งการพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การที่ได้อยู่เฉยๆ อยู่กับตัวเอง อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ดื่มกาแฟ หรือการออกกำลังกาย ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง" ชอบข้อความนี้มากเลยนะคะได้มาจากเมล์ของพี่ปูส่งมาให้ รู้สึกว่าจะมาจากชมรมศาสนาและการกุศล
การได้ความทรงจำ
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการไปเที่ยวแต่ละครั้งจะก่อให้เกิดความทรงจำต่างๆมากมายเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นความทรงจำที่ดี และไม่ดี แต่เชื่อเถอะค่ะว่า ความทรงจำนั้นเมื่อนำมาเล่ากี่ครั้งก็จะย้อนนึกถึงภาพความประทับใจที่เราได้ไปเที่ยวมา ซึ่งสิ่งนี้เองก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้เราได้อย่างง่ายดายเมื่อได้เอ่ยถึง และนี้ก็จะเป็นสิ่งที่การท่องเที่ยวได้สร้างด้วยตัวของมันเอง
"บางท่านอาจจะนึกแย้งในใจว่าอยู่บ้านหรืออยู่ที่ทำงานก็เกิดความทรงจำได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเสียทองออกไปเที่ยวให้เปลือง"
แน๊ๆหลายท่านที่กำลังอ่านอยู่อาจจะคิดเช่นนี้อยู่ก็เป็นได้ แต่ผู้เขียนบันทึกอยากให้ท่านทั้งหลายลองเปลี่ยนมุมมองดูบ้าง
การได้ทำและเป็นอย่างเต็มที่
หมายถึงการได้เป็นตัวของตัวเอง การไปเที่ยวให้สนุกนั้นต้องพยายามคิดว่านี้เป็นโอกาสดีที่รวมตัวกันจนได้มาเที่ยวด้วยกัน แม้จะรอคอยด้วยความยาวนาน และคิดว่าอีกนานแค่ไหนที่จะได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ ทุกครั้งที่ผู้เขียนบันทึกไปเที่ยวแต่ละครั้ง จะคิดว่านี้อาจจะเป็นการเที่ยวครั้งสุดท้ายของเราก็ได้ ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจและสงสัยในตัวของผู้เขียนว่าทำไมถึงได้สนุกกับการเที่ยวมากมายนัก จริงๆการคิดแบบนี้ไม่ใช่แค่นำมาปรับในการเที่ยวเท่านั้น แต่สามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เกือบทุกเรื่อง แล้วมันจะทำให้เรารู้สึกเต็มที่กับทุกๆอย่าง เมื่อเราได้เต็มที่กับทุกสิ่งที่ทำแล้วนั้นแม้ผลออกมาจะไม่ได้ตามที่เราหวังก็อย่าไปเสียใจ อย่างน้อยเราก็ได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว
การได้เห็นและเรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่การใช้ชีวิตของเพื่อนร่วมโลก
ประเด็นนี้อาจจะฟังดูจริงจังแต่ผู้เขียนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกำไรชีวิตหลังจากการไปเที่ยว อย่างครั้งล่าสุดที่ไปเที่ยว เหมืองสมศักดิ์ กับทีมงานคนหน้าตาดีทั้ง 10 คนนั้น นอกเหนือจากความสุข ความสนุก เสียงหัวเราะ แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือน้ำตา ผู้เขียนบันทึกรู้สึกประทับใจเด็กเล็กๆ 2 ท่านที่ทำงานในเหมืองสมศักดิ์ ชื่อน้องเต้ และน้องจอห์น เด็กผู้ชาย 2 คนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการมาทำงานเพื่อนำเงินไปให้พ่อแม่ จากการฟังเรื่องราวของน้องๆทั้ง 2 คนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่า
- สมัยนี้ยังมีเดี๋ยวเหรอ การที่ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 3 บาท
- การถูกเพื่อนล้อเลียนเพราะแม่ทำกับข้าวไปส่งที่โรงเรียน
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความกตัญญูของเด็กๆที่พวกเราซาบซึ้ง และทำให้สะท้อนกลับมามองตัวเองว่าแล้วเราหล่ะปัจจุบันทำได้ดีแค่ไหนแล้ว
และนี้คือตัวอย่างบางส่วนของการเรียนรู้ที่ได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งหลายๆคนอาจจะมองว่าไร้สาระ สิ้นเปลือง ไม่มีเวลาบ้าง แต่ผู้เขียนบันทึกก็ยังอยากให้ท่านทั้งหลายลองมองในมุมมองที่เปลี่ยน แล้วท่านจะได้รับอะไรมากมายกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ ------ ลองดูนะคะ-------