เรื่องทีเด็ดจากเกาหลี


ฉวยโอกาสเล่าเรื่องที่อาจารย์ลี ชินโม บอกผมว่าจะมีของดีให้ผมได้ทดลองดีฝ่า ยังจำได้ไหมครับ คราวก่อนผมเล่าว่าตอนศึกชิงตัวนางสีดา เอ้ย !ชิงตัวผมนั้น อาจารย์ลี ชินโม ทำเป็นกระหยิ่มยิ้มย่องกระซิบบอกผมว่ามีทีเด็ดให้ผมทดลอง

 

ครับ เนื่องจากผมประสบกับภาวะเครื่องบินสายรักคุณเท่าฟ้าดีเลย์ จากกรุงเทพ-หาดใหญ่

 จากเวลาห้าโมงห้าสิบห้า มาเป็นสองทุ่ม ตอนขากลับจากเกาหลี เพื่อมาร่วมสัมมนาที่หาดใหญ่นี่แหละ เลยทำให้ผมมีเวลาอันไม่ได้คาดคิดที่ทำให้ผมได้มีโอกาสนั่งเขียนบันทึกนี้

ผู้โดยสารบ่นกันระนาวเป็นหมีกินผึ้ง (ความจริงหมีไม่น่าจะบ่นเนาะ...รึมันบ่นว่าหย่อยๆๆๆๆ) บ้างให้พรขอให้บริษัทนี้จงเจริญรุ่งเรืองมีกำไรมหาศาล บ้างก็ทำหน้างอตูมเหมือนหัวไม้กอล์ฟเบอร์หนึ่ง ส่วนผมก็ฉวยวิกฤตเป็นโอกาส ปั่นบันทึกอย่างเอาเป็นเอาตาย ฮ่า!

ฉวยโอกาสเล่าเรื่องที่อาจารย์ลี ชินโม บอกผมว่าจะมีของดีให้ผมได้ทดลองดีฝ่า... ยังจำได้ไหมครับ คราวก่อนผมเล่าว่าตอนศึกชิงตัวนางสีดา เอ้ย !ชิงตัวผมนั้น อาจารย์ลี ชินโม ทำเป็นกระหยิ่มยิ้มย่องกระซิบบอกผมว่ามีทีเด็ดให้ผมทดลอง

หลังกินข้าวเช้าเสร็จ แกก็พาผมไปมหาวิทยาลัย Dong Duk Woman University เพื่อให้ผมได้มีโอกาสพูดกับนักศึกษาในคลาสของแกทั้งสองคลาส ซึ่งผมได้พูดเรื่อง International Understanding Project เพื่อให้นักศึกษาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการศึกษาในยุคโลกเล็กลงในปัจจุบันและอนาคต

ก่อนพูดรายละเอียด ผมก็ร้องเพลง Nobody…but you ให้ฟังก่อน เล่นเอากรี๊ดกร้าดไปทั้งห้อง...แฮ่ แล้วพอแนะนำตัวก็บอกว่าผมชื่อ เรน...ฮ่า ฮ่า

เพราะตัวอักษรนำหน้าผมนั้น คือ P หรือจะเรียกผมว่า พี ก็ได้...เล่นเอามีเสียงกรี๊ดตามมาห้องแทบถล่ม

เพราะคนเกาหลีนั้น เรียกเรนว่า พี..ฮ่า ฮ่า

ตกตอนบ่าย แกก็เผยทีเด็ดที่ผมจั่วหัวไว้เบื้องต้น คือบอกว่าจะพาผมไปอาบน้ำร้อนแบบเกาหลี คล้ายๆกับออนเซนของญี่ปุ่น ผมก็ตกลงเพราะอากาศเย็นมากผมเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยจนน้ำซึมเข้าไปในเท้าจนเปียกชุ่มไปหมด เริ่มมีอาการฟุตฟิดขึ้นมา

ร้านเซาว์น่าของเกาหลี ดูใหญ่โตเพราะเป็นที่นิยมทั่วไปของคนเกาหลี เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พอเข้าไปก็จะเจอเคานเตอร์ที่จ่ายเงินพร้อมกับมอบเสื้อผ้า และกุญแจคนละชุด

กุญแจที่ให้มานั้นเป็นกุญแจสำหรับตู้ใส่รองเท้า เป็นห้องล็อกเกอร์ขนาดใหญ่ที่มีตู้มีเบอร์ตั้งเต็มห้อง เอากุญแจที่ได้มาตามเบอร์แล้วแล้วถอดรองเท้าใส่เข้าไปในตู้ที่มีขนาดพอดีเพียงใส่ได้หนึ่งคู่ แล้วเดินเข้าไปอีกห้องอีกห้องหนึ่งที่เป็นห้องที่มีตู้ล็อกเกอร์ใหญ่กว่า มีคนนั่งอยู่หน้าห้องเอากุญแจใหม่มาแลกกับกุญแจตู้รองเท้า เพื่อใช้เปิดล็อกเกอร์ที่มีเบอร์ตรงกันกับกุญแจและถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ก่อนเข้าห้องน้ำ

ถอดเสื้อผ้า!

เป็นเรื่องแรกที่ผมจะต้องเผชิญและถามตัวเองว่าต้องถอดหมดหรือปล่าว?...พอผมชายตาไปที่อาจารย์ลี ปรากฏว่ารวดเร็วปานอาจารย์ขจิตเพราะแกถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกหมดแล้ว ยืนเย้ยฟ้าท้าดินอยู่รออยู่

เอาวะ ถอดก็ถอด!!! ...ผมกัดฟันบอกตัวเอง

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ อาจจะติดเรทอาร์ เล็กน้อย ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนและเยาวชนทั่วไป ดังนั้นใครรู้ตัวว่าเป็นคนขวัญอ่อนและอายุไม่ถึงยี่สิบขอให้หยุดอ่านเพียงเท่านี้...หากตัดสินใจอ่านต่ออาจหวาบหวิวจนหัวใจวายได้ ผมไม่รับผิดชอบเน้อ ฮ่า..ฮ่า

พอถอดเสร็จผมก็กระมิดกระเมี้ยน หันซ้ายขวามองหาผ้าเช็ดตัว แกก็รู้ใจบอกว่าผ้าเช็ดตัวอยู่ข้างใน แล้วแกก็เดินโทงเทงอย่างสง่าผ่าเผยนำไป ส่วนผมก็ฮึดฮัดกัดฟัน ยืดอกเดินตามไปอย่างตื่นเต้นนิดๆ

พอย่างออกนอกห้องล็อกเกอร์ ผมก็พบว่าตนเองกำลังเปลี่ยนภพภูมิใหม่ ที่มีแต่เปรตกำลังเดินขวักไขว่เต็มไปหมด เปรตบางตัวกำลังยืนเช็ดตัว เปรตบางตัวเช็ดหัวด้วยผ้าผืนเล็กๆ บ้างก็ยืนแก้ผ้าหวีผมอย่างสง่าผ่าเผย บ้างก็ยืนชั่งน้ำหนัก บ้างก็ยืนคุยกันฯลฯ...ที่จริงก็ดูเป็นปกติดี เพียงแต่แก้ผ้าหมดเท่านั้น

ผมเองก็พอคุ้นเคยกับคนแก้ผ้าอยู่บ้าง เพราะเรียนมาทางศิลปะ เคยเขียนภาพนู้ดมามากต่อมาก แต่คราวนี้รู้สึกตื่นเต้นมากเพราะ หนึ่งเพราะผมไม่เคยเป็นนายแบบเอง คราวนี้เป็นคราวแรกที่ผมต้องเปลือยกายให้คนอื่นเห็น สองผมเองก็ไม่เคยเห็นคนเปลือยมากมายอย่างนี้มาก่อน

ดังนั้นไม่ว่าจะไปอยู่ในที่ไหนผมจึงอดแอบมองไม่ได้ ทั้งๆที่อาจารย์ลี ได้เอทดูเคทผมก่อนแล้วว่า ให้ทำเฉยๆเป็นธรรมชาติปกติธรรมดา ไม่ต้องไปมองผู้อื่น โดยเฉพาะไปจ้องมองที่ตรงนั้นของเขาจะเสียมรรยาทมาก

เป็นคำแนะนำที่ดูง่าย แต่ทำยากแฮะ

เพราะผมรู้สึกได้เลยว่าไม่ว่าจะมองไปไหน ก็อดมอง ที่ตรงนั้น ของคนที่เดินผ่านผมหรือผมเดินผ่านเขา ไม่ได้ซักทีแม้ว่าพยายามตั้งใจไม่มองก็ตามที

โลกรอบตัวผมจึงมีแต่ จู๋ จู๋ จู๋ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เท่านั้น

โอย! เกิดมาไม่เคยเห็นจู๋มากมายอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต

เป็นจู๋ที่มีหลากหลายลักษณะและอาการมาก จนผมคิดว่าน่าจะเอาข้อมูลนี้ไปทำเป็นวิทยานิพนธ์ได้สักเรื่องนึง ว่าด้วยจู๋และโหวงเฮ้งของเจ้าของ ซึ่งอย่างน้อยๆผมก็รู้ว่าที่กล่าวร่ำลือกันมาว่า ใครอยากรู้ว่าจู๋ใครเป็นอย่างไร ให้ดูที่จมูกนั้นไม่จริง! ฮ่า ฮ่า ฮ่า

คอนเฟิร์ม ครับ คอนเฟิร์ม!

วุ้ย! บัดสีบัดเถลิง... กลับมาเรื่องข้อมูลของการอาบน้ำดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ก่อนที่จะเข้าไปในห้องที่มีบ่อน้ำร้อน อาจารย์ลีต้องพาผมไปฉี่เสียก่อน แกบอกว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อป้องกันการไปปวดฉี่แล้วฉี่ลงในบ่อน้ำ ฉี่เสร็จก็เปิดประตูเข้าไป จะเป็นส่วนที่ให้อาบน้ำให้เนื้อตัวสะอาดก่อนที่จะลงไปในบ่อ มีสองแบบ คือ แบบเป็นที่ยืนอาบน้ำฝักบัวและแบบนั่งอาบที่มีเก้าอี้เตี้ยๆรองนั่งแบบยองๆ

เป็นการอาบที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาดจริงๆ ผมเห็นเปรตหลายตัวนั่งยองๆสระผมและอาบน้ำให้สะอาดหมดจดอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว จนเนื้อตัวสะอาดดีแล้ว จึงจะเดินไปลงยังบ่อน้ำร้อนได้ ห้องที่ใช้อาบน้ำร้อนนี้จะกว้างใหญ่ บ่อน้ำร้อนมีหลากหลายมาก แบ่งออกเป็นสองชนิดคือ บ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำเย็น

บ่อน้ำร้อนนั้น มีหลายรูปแบบเช่นกัน มีบ่อที่ใส่น้ำคล้ายกับด่างทับทิม บางแห่งก็เป็นสมุนไพรนานาชนิดตามวัน เช่นวันจันทร์เป็นชาเชียว วันอังคารเป็นชาผสมขมิ้น เป็นต้น และแต่ละบ่อจะมีอุณหภูมิของน้ำไม่เท่ากัน โดยมีตั้งแต่ร้อนขนาด 40 องศาเซนเซียสและประมาณ 45 องศาเซนเซียส ผมนั้นทดลองแหย่เท้าลงไปทดลองดูก่อน เพราะได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือว่าร้อนจัด แต่พอหย่อนเท้าลงไป...

เอ พอทนได้แฮะไม่ร้อนอย่างที่คิด เลยลงไปทั้งตัว

อืมมมมม...สบาย รู้สึกความร้อนมากอดรัดแนบตัว เกิดความอุ่นสบายและคลายเนื้อตัว แช่ไปได้สักสิบนาที อาจารย์ลีก็ชวนไปลงอีกบ่อที่ร้อน 45 องศา...ผมใช้สูตรเดิมคือแหย่เท้าลงไปก่อน ผิดกับอาจารย์ลีที่เดินลงไปเลยแถมยังดำลงให้น้ำมิดหัวเสียอีก รู้สึกว่าในขณะแรกที่สัมผัสนั้น น้ำเย็นไม่ร้อน แต่แปล็บเดียวก็ร้อนจัดขึ้นมาทันที

บ่อนี้จึงจึงทำตามขั้นตอนคือแช่เฉพาะเท้าก่อน โดยนั่งลงที่ขอบบ่อที่ทำเป็นขั้นบันใดระยะหนึ่ง พอร่างกายคุ้นกับความร้อนดีแล้ว จึงหย่อนตัวลงในขั้นที่สองระดับน้ำจะถึงหน้าอก แล้วค่อยขยับหามุมเพื่อเอนหลังกับขอบบ่อสบายๆ เพราะรอบตัวเราก็มีสมาชิกหลายคนที่นอนแช่อยู่แล้ว

การแช่น้ำร้อนนี้ เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมที่รู้กันถึงมรรยาทที่ควรปฏิบัติ คือเงียบไม่คุยกัน ต่างฝ่ายต่างพึงหาความสุขจากสัมผัสทางกายกับอุณหภูมิของน้ำ และห้ามยกแขนยกเท้าขึ้นมาถูหรือขัดขี้ไคลอย่างเด็ดขาด เป็นการทำลายสุนทรียะของการอาบน้ำร้อนโดยสิ้นเชิง หากใครอยากทำอย่างนั้น ต้องลุกไปขัดสีตรงที่อาบน้ำฝักบัว ซึ่งโดยปกติแล้วเขาจะนิยมแช่ให้ตัวหน่ายน้ำหากเนื้อตัวเรามีคราบขึ้ไคลที่สู้ทนสะสมมานาน รู้สึกว่ามันหน่ายพองตัวขึ้นมาดีแล้ว ก็จะเดินไปขัดสีฉวีวรรณอีกทีในที่อาบฝักบัวเท่านั้น

บางแห่งมีบริการขัดขี้ไคล โดยมีชายหนุ่มใช้ผ้าหรือกากฟองน้ำหรือบวบแห้งบริการขัดให้ทั่วตัว โดยมีมุมหนึ่งของห้องมีแท่นนอนและขัดตัว ค่าบริการประมาณ 10,000-15,000 วอน(ประมาณ 300-350 บาท) อาจารย์ลีพยักน้ำชวนให้ลอง กระซิบบอกว่าเขาบริการขัดให้ทั่วจริงๆคราบไคลดำๆตรงไหนๆก็จะหลุดลอกออกอย่างง่ายดาย ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธเพราะแค่นี้ก็เขินจะแย่อยู่แล้ว ตอนเดินจากบ่อหนึ่งไปอีกบ่อหนึ่ง ประมาณว่าเหมือนเดินโชว์ตัวของชายงามจักรวาล หากต้องไปนอนเปลือยโชว์ของดีให้คนอื่นขัดอีก เห็นถ้าจะไม่รับประทาน... มิกล้ารับ มิกล้าจริงๆ

เสร็จจากแช่น้ำร้อนก็ไปแช่บ่อน้ำเย็น มีสองบ่อ เย็นประมาณ 15 องศา และ 25 องศา ผมเองก็ประมาทว่าอุณหภูมิขนาดนี้ไม่เย็นเท่าใด พรวดพราดเข้าไป โอย...เย็นจนขนลุกซู่ซ่ามาทั้งตัว แถมยังมีฝักบัวขนาดใหญ่ประมาณกะละมังบ้านเราให้เปิดน้ำเย็นจัดราดหัวอีก ฮูย! เย้นวาบบบบบ แสบทรวง

แต่พอแช่ไปสักพัก ก็รู้สึกอุ่นสบายขึ้นมาแฮะ

หรือจะไปเอ็นจอยกับบ่อขนาดลึกแค่อก ที่มีท่อน้ำฉีดน้ำพวยพุ่งออกมาใต้น้ำ คล้ายอ่างจากุสซี่ โดยมีหลายระดับให้  คือ ให้น้ำนวดเฉพาะจุด เช่น เลือกช่องที่นวดเฉพาะหลังหรือระดับอก หรือระดับเท้ากับน่อง ก็มีบริการเป็นช่องๆไป

เข้าไปทดลองดูแล้วเออ...มันดีแฮะ กระแสน้ำที่พุ่งออกมามีความแรงพอดีเหมือนกับมีคนมานวดให้เรา จะเอาหนักเบาก็ปรับระยะห่างของตัวเราโดยขยับตัวเอาเอง

นวดไปๆ รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อดีมาก เป็นวารีบำบัดอย่างดี ผมแนะนำให้ไปที่ช่องที่พุ่งมาตรงหลัง แล้วหมุนตัวสลับไปมาระหว่างหลัง อก หน้าท้อง เฉพาะที่พุงอันอวบงามของผมก็บรรจงให้น้ำนวดนานหน่อยโดยหวังว่าไขมันที่เกาะอยู่จะสลายลงบ้าง แต่ห้ามเคลื่อนลงต่ำกว่านั้น เพราะเดี๋ยวจะสะบัสซั่มตายไม่รู้ด้วย ฮ่า ฮ่า J

ผมแช่สลับไปมาร้อนๆเย็นๆสักสองรอบ จนร่างกายกระชุ่มกระชวยดีแล้ว อาจารย์ลีชวนไปลองห้องข้างบน โดยต้องออกมาสวมเสื้อผ้าเสื้อยืดคอกลมและกางเกงขาสั้นที่เขาให้มาครั้งแรกที่ห้องล็อกเกอร์ ผมก็งงๆว่าจะพาไปไหนและทำไมต้องสวมเสื้อผ้าด้วย(ฮ่า...ชักชินกับการเป็นชีเปลือยเสียแล้ว)

 แกก็บอกว่าอยากถามมาก จะพาไปเซาว์น่า อ้อ..ห้องอบตัวนั่นเอง

เดินออกจากห้องไปถึงทางแยกมีผ้ากั้นประตูอยู่ จึงรู้ว่าเป็นทางแยกที่เข้ามาจากห้องชายและหญิง มาบรรจบกัน นี่เองเป็นเหตุผลว่าต้องสวมเสื้อผ้าก่อน เพราะเป็นบริเวณที่ใช้ร่วมกันนี่เอง ในห้องนี้เป็นห้องโถงขนาดใหญ่มีที่ว่างตรงกลางมีผู้คนเดินและนั่ง นอนกันอยู่พอสมควร เดี่ยวบ้างเป็นคู่บ้าง รอบๆห้องมีห้องเล็กๆอยู่รอบ

ห้องเล็กๆนี้เองเป็นห้องอบ ที่มีหลากหลายความต้องการ เป็นห้องที่มีแผงไฟแอลซีดี โชว์ไว้ว่าอุณหภูมิในห้องนั้นเท่าใด โดยมีตั้งแต่ 60 -70, 70-80 และ 80-90 องศา และแต่ละห้องยังมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางห้องเป็นพื้นไม้บุด้วยผ้าให้รองนั่ง มีหมอนไม้ให้หนุนคอ บางห้องมีเกลือเม็ดก้อนโตประมาณหนึ่งนิ้ววางเต็มไปหมดให้เดินหรือนอนอบกับไอร้อนของก้อนเกลือ บางร้อนเป็นพื้นที่กรุด้วยทองคำเปลวแผ่นเพราะเชื่อว่าจะนำให้เกิดกระแสเลือดหมุนเวียนดี

ผมเข้าไปทดลองห้องหนึ่งที่มีอุณหภูมิถึง 79 องศา พอเปิดประตูความร้อนก็วูบเข้าใส่ ต้องฝืนใจเดินเข้าไป นั่งลงกลางห้อง ร้อนจริงๆครับ ผมเลยนั่งสมาธิสู้เอาความนิ่งสยบความร้อน เข้าท่าแฮะ ความร้อนอยู่ในระดับที่พอทนได้ ผมจึงนั่งสมาธินิ่งอยู่สักพักรู้สึกเหงื่อเริ่มซึมออกมาจากศีรษะ ใบหน้าและหน้าอก จนกลายเป็นหยดน้ำพรั่งพรูหยดติ๊งๆตลอดเวลา  ชักเพลินดีจนอาจารย์ลีชวนออกไป บอกว่าประมาณสิบห้านาทีแล้ว พอขยับตัวเท่านั้นความร้อนดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นจนต้องรีบออกจากห้อง เสื้อผ้าเปียกชุ่มโชกด้วยเหงื่อไปทั้งตัว

บางห้องผมชะโงกหน้าเข้าไปดูแล้วร้อง บรื้อออออออ! เพราะเป็นห้องที่มีแผงความเย็นคล้ายในช่องเยือกแข็งของตู้เย็น เพียงว่าเป็นขนาดใหญ่เต็มห้องและมีน้ำแข็งเกาะอยู่ขาวโพลน บรื้ออออ! อีกทีเมื่อเห็นว่าอุณหภูมิของห้องประมาณ ลบ 5-10 องศา

บรื้ออออ! ข้าน้อยลาก่อน ผมเป็นคนแพ้ความหนาวตัวจริง ขนาดอยู่เชียงใหม่แท้ๆยังกลัวหนาวเล้ย

                เลยกลับไปแช่น้ำร้อนใหม่ พอสบายตัวคลายกล้ามเนื้อ เบ็ดเสร็จใช้เวลาสักสองชั่วโมง ตอนขากลับสวมเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็เกิดพุทธิปัญญาแวบ อ้อ! ขึ้นมา หายสงสัยที่ว่าทำไมจะคบกันเป็นเพื่อนสนิทกับชาวเกาหลีต้องมาพิสูจน์ด้วยการอาบน้ำร่วมกัน

                คงเป็นเพราะว่ารู้เช่นเห็นชาติกันจนหมดใส้หมดพุงนี่กระมัง...ฮ่า ฮ่า

คำสำคัญ (Tags): #เกาหลี#เซาว์น่า
หมายเลขบันทึก: 270519เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2009 00:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

555 บันทึกนี้เรทอย่างแรง แต่นึกภาพตามไปด้วยตอนศิษย์พี่ใหญ่บรรยายถึงบ่อต่างๆ (ไม่ได้จินตนาการถึงชีเปลือยในห้องแต่อย่างใด) แช่น้ำแบบนี้ท่าทางจะมีความสุขมากนะคะ ชอบแช่จากุชชี่อยู่แล้ว ถ้าได้ไปคงต้องลองแน่ๆ ไม่อายใคร ถ้าไม่มีคนรู้จัก แก้ผ้าเดินได้อย่างสะดวกใจเฉิบ แต่ถ้ามีคนรู้จักไม่สนิทมากเนี่ยก็คิดหนักค่ะ เคยแต่แก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย อันนั้นปกติอย่างแรง เวลาไปตจว.ทีไร ห้องน้ำมีน้อย เวลามีน้อยก็อาบมันรวมกันนี่ล่ะ แล้วก็วิพากย์วิจารณ์กันเอง หนุกหนาน

ลืมบอกว่าชอบอ่างแรกในรูปมากค่ะ บรรยากาศชวนฝัน นึกถึงเอี้ยก๊วยแช่น้ำกับเซียวเหล่งนึ่ง ประมาณนั้น แต่แอบสงสัยว่ารูปสองทางซ้ายเนี่ย ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ถ่ายจากต้นแบบตัวจริง อาจจะไม่ได้รอดชีวิตกลับมา หรือกลับมาแล้วก็จะโดนท่านฮูหยินสะบัดกรรไกรฉับเมื่อเห็นภาพก็เป็นได้ ; P

น้องเล็ก

รูปถ่ายนั้น เขามิอนุญาติให้ถือกล้องเข้าไป จึงงดถ่ายรูปที่น่าตื่นเต้นมาดูได้ พี่ใหญ่ใช้รูปจากเน็ตจ๊ะ

ส่วนเรื่องฮูหยินสบัดกรรไกรนั้น มิค่อยถนัดเช่นกัน เคยใช้แต่ Blender ฮ่าฮ่า

น้องเล็ก

บันทึกนี้ ติดเรทเด็กอายุต่ำกว่า ๑๓ ปี ขณะอ่านควรมีผู้แนะนำครับ :)

ขำหนอๆๆ ไม่ไหวแล้วหนอ ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

สำนวนอาจารย์ ทำให้หมอขำกลิ้ง ว่าแล้วก็ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่ยังนึกขำไม่หายที่อาจารย์ขอให้หมอเฟิร์ม หัวเราะบ่อยๆ พุงกระเพื่อมคงจะเฟิร์มได้เหมือนกันนะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ฮ่า ฮ่า!หมอนิดครับ

ขำบ่อยๆ หัวเราะดังๆจนพุงกระเพื่อมเนี่ยะ เขาว่าเป็นยาอายุวัฒนะได้อย่างดี

หากปิดปากแล้วขำก็ดี เพราะทำให้เกิดแรงอัดลมภายในพุงเพิ่มเพรสเชอร์ขึ้น

จนกระเพื่อมอย่างแรง จะเฟิร์มเอง ขอบอก ขอบอก!:)

อ่านไป ขำไป หัวเราะแบบนึกเห็นได้หมดเลยค่ะ เพราะมีประสบการณ์ ครั้งแรกที่เข้าไปอาบน้ำรวม ปรากฎว่าคืนนั้นก็ฝันเห็นสาวๆ เดินเปลือยมาเป็นแถวๆๆ สะดุ้งตื่นแบบฝันร้ายเลยค่ะ ... แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกวันละเล็กละน้อย โดยการนุ่งผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ (เป็นห้องอาบน้ำมหาวิทยาลัย) เมื่อชินแล้วจึงออกสู่ยุทธจักรบ่อน้ำพุร้อนค่ะ ชอบมาก เพราะหลังจากแช่แล้วตัวจะเบาโหวง นอนหลับสบายค่ะ

ไปจองตั๋วไว้จะไปเกาหลีช่วงต้นเดือนกันยายน (4-7) ค่ะ อาจารย์มีคำแนะนำมั้ยค่ะ แบบแอบไปเที่ยวค่ะ (แลกตั๋วฟรีได้ แต่ต้องจ่ายค่ะ tax)

หนู Paew

ไม่ได้เจอกันนาน ออกคิดถึง

แหม หนูมีประสบการณ์ คืนนั้นฝันเปลือย เห็นสาวๆ เดินเปลือยมาเป็นแถวๆๆ สะดุ้งตื่นแบบฝันร้ายเลยค่ะ...ฮ่าฮ่า ของอาจารย์ไม่มีฝันอย่างนั้นเลยครับ!

ตอนนี้ผมก็คุ้นมากๆไปญี่ปุ่นและเกาหลีทีไร บอกเพื่อนให้พาไปทุกที

เดือนกันยายนหนูไปเกาหลี เอ! จะแนะนำไปไหนดีหนอ เอางี้ 1.หากมีเวลามากไปเที่ยวเกาะเจจู ที่นายกเราไปมาแล้ว 2.ไปตอนใต้นั่งรถไป ห้าชั่วโมง เที่ยวอาณาจักรชีล่า เก่าแก่ประมาณพันปี คล้ายยุคสุโขทัยของเรา ผมไปมาแล้วคุ้มค่ามากๆครับ

ขำจังเลย สำนวนฮามากขอบอก

คิดถึงอาจารย์จัง เมื่อไหร่จะเขียนอีก....เฮ้อ

ขอแสดงความยินดีในโอกาสที่อาจารย์ได้รับดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตวิทยาและการแนะแนว จากสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามด้วยครับ เป็นสิ่งที่ปลาบปลื้มปีติในใจของศิษย์ทุกคนครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท