ระหว่างวันที่ 21 – 22 พฤษภาคม 2552 ศิลาได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายและทำ Workshop เรื่อง Story Telling…กับวิทยากรกูรูท่านหนึ่ง
บันทึกนี้ขอตัดตอนเล่าเรื่องเฉพาะความประทับใจส่วนตัวที่มีต่อการอบรมครั้งนี้
ท่านอบรมเรื่อง Story Telling โดยมีการอ้างถึงการเล่าเรื่องแบบสายธารชีวิตด้วยการใช้ Enneagram (นพลักษณ์) มาจับ (ท่านมักจะใช้คำว่า capture แทนคำว่าจับ)
พอนอกรอบ พักเบรค ศิลาก็เข้าไปคุยด้วย ไล่สายไปมาก็เป็นศิษย์อาจารย์นพลักษณ์เดียวกัน ท่านเป็นรุ่นพี่ยุคบุกเบิก…ต่างคนต่างอมยิ้ม มองตากันก็รู้ใจแล้ว…
ศิลาเรียนมาหลายศาสตร์แล้วเช่นเดียวกับอาจารย์รุ่นพี่ท่านนี้…แม้ไม่ได้พูดออกมาเราก็มีความเชื่อตรงกันอย่างหนึ่งว่าหากศึกษานพลักษณ์แล้วนำเคล็ดวิชามาสังเกตตนอย่างลึกซึ้งแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง ๆ
เพราะอาจารย์รุ่นพี่ท่านก็กล่าวว่าเดิมทีพี่ก็ไม่ใช่คนแบบนี้…เหลือเชื่อจริง ๆ ค่ะ …มหัศจรรย์แห่งการเข้าถึงตัวตน…
นอกจากนี้ ก็มีคำพูดสนุก ๆ ของท่านที่กล่าวว่า
“ทำไมหน่วยงานที่นี่ มีแต่สาว ๆ หน้าตาดีคะ เวลาคัดเลือกเข้าทำงาน ผู้บริหารเขาคัดเฉพาะสาวหน้าตาดีหรือคะ”
ไม่มีผู้ใดที่อยู่ ณ ที่นั้นตอบเลย ศิลาก็เลยขออนุญาตตอบค่ะ
“ขอตอบตามความเห็นส่วนตัวนะคะ คือว่าสาว ๆ หน้าตาดีที่อาจารย์กล่าวมานั้น ล้วนมาสวยหลังจากเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วค่ะ”
ท่านอาจารย์หัวเราะคิกคัก
“แสดงว่าทำงานที่นี่แล้วมีความสุข ก็เลยสวยกันใหญ่เลยนะคะ แหม เข้าใจตอบจังเลย”
----------------------
เจาะประเด็น
เทคนิคการเล่าเรื่องว่ายากแล้วนั้น พบว่าการถอดบทเรียนแบบจับและเจาะประเด็นเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบนั้นยากยิ่งกว่า
การที่จะถอดบทเรียนจากเรื่องเล่านั้น ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ถอด (เขียนสั้น ๆ อย่างนี้คงไม่ว่ากันนะคะ อิอิ) ซึ่งพบว่าท่านอาจารย์ผู้เป็นวิทยากรมีประสบการณ์ในการถอดเรื่องเล่ามาแล้วอย่างโชกโชน
ผู้เข้าร่วมฟังบรรยายท่านอื่นอาจจะ capture ตัวเนื้อหาที่ท่านอาจารย์เล่ามา แต่ศิลาขออนุญาตนำเสนอสิ่งที่ตนเองสังเกตจากตัวท่านวิทยากรคือ capture กระบวนการถ่ายทอดของท่าน
วิธีการสอนของท่านก็เหมือนกับการเล่าเรื่องเรื่อง “story telling” หมายความว่าแม้กระทั่งเรื่อง story telling ท่านก็เล่าแบบเล่าเรื่อง …กล่าวโดยเฉพาะก็คือก่อนหน้านี้ ท่านแจกชีสต์สไลด์ทาง intranet แล้ว แต่พอตอนสอนจริง ท่านแทบไม่ใช้สไลด์นั้นเลย
ท่านเล่าเรื่องประสบการณ์การถอดบทเรียนในองค์กรของรัฐหลายแห่ง
- บทเรียนที่ท่านได้ในที่ต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่หน่วยงานไม่ให้ความร่วมมือ มองว่าจ้างผู้รู้มาถอด ก็ให้ผู้รู้ถอดให้เสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วท่านเป็นเพียงสื่อกลาง (สายยางหรือท่อน้ำ) ที่เชื่อมต่อระหว่างข้อมูลความรู้ (เปรียบเทียบกับน้ำ) กับคลังเก็บความรู้ (เปรียบเทียบกับตุ่มน้ำ)
เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานควรที่จะมาเรียนรู้วิธีการถอดความรู้จากท่าน แทนที่จะให้ท่านทำหน้าที่ดูดความรู้ใส่ตุ่มน้ำจนเต็ม แล้วท่านก็จะจากไป ในขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานก็จะไม่ได้วิธีการใด ๆ นอกจากความรู้ที่นอนนิ่งตกตะกอนในตุ่มน้ำ
- ความยากลำบากในการเข้าถึงกูรูผู้เป็นแหล่งความรู้…บางท่านที่จะต้องไปทำการถอดความรู้ก็กลายเป็นฝ่ายตั้งปุจฉาให้ท่านวิทยากรของเราวิสัชนาจนเป็นที่พอใจก่อน จึงจะยอมให้มาดูดความรู้ใส่ตุ่มน้ำ...ประมาณว่าทดสอบความสามารถก่อนให้ทำหน้าที่ว่าอย่างนั้นเถอะ
สรุปความได้ว่า ศิลาเห็นการใช้ศิลปะในการรู้จักและเข้าถึงผู้คนหลากหลายด้วยศาสตร์นพลักษณ์ของท่าน แล้วกระตุ้นให้เล่าเรื่องออกมา อีกทั้งเห็นการใช้ศาสตร์หลากหลายแนวคิดทฤษฎีเพื่อนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ดึงความรู้ของคนเล่าออกมาเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
จากการฟังแล้วย่อยสลายเป็นองค์ความรู้ พอจะสรุปด้วยความเห็นของตัวเองว่า
ผู้ถอดจะต้องมีความเป็นภววิสัย (objective) เป็นทั้งนักวิเคราะห์และนักสังเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีความสามารถในการใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์
ศาสตร์ ที่ว่านี้ก็คือความรู้ ซึ่งจะได้มาก็เนื่องด้วยจากการทำการบ้าน รู้ในเรื่องที่จะถอด แม้ไม่รู้ ไม่เชี่ยวชาญ ก็จะต้องมีกระบวนการไต่ถามแสวงหาข้อเท็จจริง กล่าวคืออย่างน้อยก็ควรรู้กระบวนการวิจัย Research Methodology แบบต่าง ๆ …เทคนิควิจัยที่น่าสนใจวิธีหนึ่งคือ Delphi Technique[1]
ศิลป์ ความสำคัญของผู้ที่รู้หลายศาสตร์ก็คือการบูรณาการ (เลือก) ศาสตร์ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับบริบทนั้น ๆ นับว่าเป็นงานศิลป์ที่ยาก ในการที่จะหยิบพู่กันขนาดใด ผสมสีอะไร ระบายอย่างไรให้ออกมาตรงตามที่ต้องการ โดยมีผู้เล่าเรื่องเป็นผู้ที่ตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของภาพนั้นอีกครั้ง…
ภาพที่ว่านี้ ศิลาขอเรียกว่าภาพ 3 มิติค่ะ (เหมือนข่าวสามมิติ) มิติแรกคงมาจากผู้เล่าเรื่อง มิติที่สองคือมาจากผู้ถอด และมิติที่สามคือมาจากผู้ฟังเรื่องเล่าที่มีส่วนในการประกอบจิ๊กซอว์ ทั้งสามมิตินี้จะต้องหลอมรวมองค์ความรู้ออกมาด้วยกัน
ขอจบบันทึกนี้แบบเรียบง่ายสไตล์ศิลานะคะว่าการเรียนรู้วิธีเรียนรู้แนวใหม่คือการศึกษากระบวนการถ่ายทอดของวิทยากรแทนที่จะดูดซับเนื้อหาแต่เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะเป็นอีกมิติหนึ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบยั่งยืน
[1] The Delphi method is an iterative process to collect and distill the anonymous judgments of experts using a series of data collection and analysis techniques interspersed with feedback. จากแหล่งข้อมูล http://jite.org/documents/Vol6/JITEv6p001-021Skulmoski212.pdf
แวะมาเรียนรู้ด้วยคนนะคะขอบคุณสำหรับcapture กระบวนการถ่ายทอด....ดีจังเลยค่ะ
แวะมาทักทายสาวสวยคนเก่งค่ะ ได้ร่วมเรียนรู้ไปด้วย การอบรมหรือสัมมนาใดๆหากเราสามารถเรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระ บวกกับ กระบวนการการถ่ายทอด จะช่วยทำให้เราเติบโตทางความคิดได้มากนะคะ
เลยได้พบคุณadd ไม่ได้พบกันมาพักใหญ่ ขอสวัสดีกันที่นี่ด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะดีใจมากที่อ.ศิลามาบันทึกดีๆให้อ่าน
อยากไปอยู่หน่วยงานนี้จังเลย...จะได้สวยๆ...
โชคดีนะคะ
สวัสดีค่ะ พี่ศิลา
ตามพี่แดงมาค่ะ อิอิ เห็นด้วยนะคะ เราย้ายไปอยู่ที่นี่กันดีกว่าค่ะ รับไหมคะ
ชอบการถอดบทเรียนและกำลังศึกษาอยู่ค่ะ
ขอบคุณพี่อาจารย์ศิลามากค่ะ
สวัสดีค่ะคุณศิลา
คุณศิลาคะ
บันทึกนี้อ่านได้เนื้อหาที่ตรงใจค่ะ และสั้นกระชับดีอีกด้วย...
ชอบค่ะ
คนไม่มีรากเรียนสาขาวิชาการศึกษานอกระบบ ซึ่งมีวิชากที่เน้นหนักเกี่ยวกับการฝึกอบรมและการใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ขึ้นใน "ผู้เรียน" ซึ่งไม่เฉพาะนิสิต นักศึกษา แต่เป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้ทุกคน...
เรื่อง Capture ในส่วนของเนื้อหาและวิธีการของ "วิทยากร" จึงเป็นสาระหลักที่ทุกคนควรตระหนักถึงค่ะ เพราะ...
ทุกคนมีโอกาสและอาจต้องทำหน้าที่เป็น "วิทยากร" ให้กับคนอื่น ๆ อยู่เสมอค่ะ...
ขอบคุณนะคะ
(^__^)
มาเรียนรู้วิธีเรียนอันหลากหลายมิติของคุณพี่ศิลานะครับ
แล้วจะลองนำไปใช้ดูบ้างครับ
ขอบคุณครับที่ช่วยเปิดมิติใหม่ๆ ให้หู ตา และใจ สว่างขึ้นมาอีกเยอะทีเดียว
สวัสดีครับ
ผมได้หนังสือ Enneagram (นพลักษณ์)มา เล่มหนึ่ง ได้ลองอ่านดูคร่าวๆแล้ว ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
จะพยายามศึกษาให้เข้าใจครับ เพราะ
ศึกษานพลักษณ์แล้วนำเคล็ดวิชามาสังเกตตนอย่างลึกซึ้งแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง ๆ
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆครับ
สวัสดีครับอาจารย์ มาเก็บเกี่ยวความรู้เพื่อไปทำการบ้าน วันนี้คือ " นพรัตน์ "..ขอบพระคุณมาก ครับ
• ขอบพระคุณคูณนายดอกเตอร์ สำหรับประโยคนี้ค่ะ
"การอบรมหรือสัมมนาใดๆหากเราสามารถเรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระ บวกกับ กระบวนการการถ่ายทอด จะช่วยทำให้เราเติบโตทางความคิดได้มาก"
• ชอบมากค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่ศิลาเชื่อว่าเป็นจิตวิญญาณของผู้ที่จะสวมบทบาทวิทยากรที่เข้าถึงใจผู้ฟังบรรยายเลยค่ะ
• และศิลาก็ได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่างพอสมควร จากการเล่าเรื่อง ผ่านบล๊อกเกี่ยวกับการสัมภาษณ์คุณหมอวิจารณ์โดยคูณนายดอกเตอร์ในกิจกรรม G2K Forum ที่ผ่านมาค่ะ
สวัสดีครับคุณศิลา
ตามาขอบคุณค่ะ คุณศิลา ที่แวะมาเยี่ยมบล็อกค่ะ
แวะมาทักทาย..ขอบคุณกับมิตรภาพที่ดีของเรานะคะ..สบายดีค่ะ
ขอเรียนรู้เรื่องดีดีจากคนดีดี ขอบพระคุณ