ชีวิตที่เจ็บปวด หากเราเข้าใจนำมาเป็นบทเรียน จะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาที่หนักหนาได้อย่างง่ายดายครับ
ขอให้มีความสุข พบแต่สิ่งที่ดีงามครับ
ค่ะ ใช่ ขอบพระคุณค่ะ
มีความสุขทุกวันนะครับ
สวัสดีค่ะ
ดีใจจังที่มีรายการดีๆ เช่นนี้
สังคมเล็กๆรอบตัวศิริวรรณก็มีปัญหาให้พบมากมาย โชคดีที่มีนักเรียนน้อย(มากๆ) ตั้งใจจะสร้างภูมิค้มกันให้จิตใจพวกเขา เพราะคิดว่า เราหนีปัญหาไม่ได้ แต่เราจะเผชิญกับปัญหาอย่างไร จึงจะไม่มีปัญหาเพิ่มขึ้น
ทุกวันนี้ มีอะไรมากมายที่กำลังทำ แต่เขียนไม่ไหว ทั้งที่ใจอยากบันทึกไว้ ไว้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ จะเริ่มบันทึกอีก
ด้วยความเคารพค่ะ
ศิริวรรณ
ดีใจที่พบกันอีกครับ
สร้างภูมิคุ้มกันในจิตใจ คำนี้ดีมากครับ
แต่...พวกเรายังทำสิ่งนี้ให้แก่เยาวชนได้ไม่มากเลย หากเทียบกับสิ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามายังชีวิตของเขา
ขอบคุณที่เข้ามาแวะเยี่ยมครับ
สวยครับ
ขอบคุณมาก
เข้ามาเยี่ยมคะ หายหวัดแล้วยัง ได้อ่านจากบล็อคไหน น๊า ว่าไม่สบาย ดูแลสุขภาพด้วย ทำไมนอนดึกนักตั้งตี 2 ทำอะไรอยู่ ฮึ! เอ้าดอกไม้แสนสวยไป เป็นกำลังใจอีกหนึ่งกำลังใจ
ต้องกล้าที่จะให้ลูกออกไปเผชิญปัญหา หรือสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆในโลก ถ้าเป็นบรรทัดนี้นะคะ ขอสนับสนุนคะ เพราะกว่าจะได้เรียนรู้จากพ่อและแม่ อาจจะสายเกินไป เพราะปัจจุบันนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เด็กต้องตามโลกให้ทัน รู้ทัน ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นเด็ก ที่อ่อนแอ และไม่มีความเข้มแข็ง จากธรรมชาติที่เขาได้รับ เมื่อเจออะไรมากระทบนิดหน่อยก็ท้อถอย ลังเล ไม่เชื่อมั่นในตนเอง ให้ออกไปเผชิญให้เห็นกับหูกับตา เป็นลูกผู้ชายก็ไม่ห่วงหรอกคะ ปล่อยเขาเถอะคะ แต่ต้องมองดูและสังเกตดูเขาห่างๆ จะได้คอยตักเตือนถ้าหากเขา หลงทางไป (สอนสังฆราชอีกแล้ว)
แต่สำหรับลูกผู้หญิง เป็นห่วงมากคะ อาจจะว่าผู้หญิงอ่อนแอก็ว่าได้ กลัวจะตกเป็นเหยื่อแห่งความไร้เดียงสา และไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ พ่อแม่ตามไม่ทัน
พ่อกับแม่ ต้องนำพา และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ถูกต้องแล้วคะ ใครๆก็ว่าอย่างนั้น แต่พ่อกับแม่สมัยปัจจุบันนี้ ถามว่า ตามลูกทันไหม ลูกเก่งและไปไกลกว่าที่คิด(คาดไม่ถึง) หรือพ่อและแม่ยังไร้เดียงสา กับการเป็น ผู้นำ ครอบครัวนี่เอง
หายแล้วครับ ขอบคุณในไมตรีที่ห่วงใย
ที่นอนตีสอง เพราะเตรียมบรรยายในวันรุ่งขึ้นครับ บรรยายสามชั่วโมง คนเดียว ให้ครูฟัง จะพูดเรื่อยเฉื่อยแบบชื่อบล็อกนี้ ไม่ได้ครับ เลยเตรียมยากและนานหน่อย (ตอนนี้เสร็จงานแล้ว ง่วงจังครับ คงต้องนอนก่อนสามทุ่มแน่..)
ก็.......บล็อกที่คนไปเมืองไทยประกันชีวิตเขียน... สงสัยทำไมพูด “มิเตอร์” กรุงเทพฯเมืองสวรรค์ของใคร..... นั่นแหละ (ใครเขียนก็ไม่รู้.... ฮ่า.. ฮ่า)
ฝรั่งเขาปล่อยลูกเมื่ออายุ 18 ปี ขึ้นไป มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ในขอบเขตของกฎหมายและวัฒนธรรม
ผมเห็นด้วยครับ เด็กๆ ต้องการมีฮีโร่เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตของเขา คนแรกที่เขาอยากเลียนแบบ คือ พ่อแม่ หากพ่อแม่เป็นแบบอย่างกับเขาไม่ได้ ครอบครัวก็จะมีปัญหา
พ่อแม่ที่เป็นต้นแบบแก่ลูกไม่ได้ นั่นแหละครับ พ่อแม่ยังไร้เดียงสา
ตามมาอ่านอีกคะ ไปเที่ยวลาสเวกัสหมดแล้ว เลยมาดูซิเว้นบทไหนบ้าง ตามมาราวีคคะ ก่อนที่ไปเขียนบทในบล็อคของตนเอง
เขียนเพิ่มอีกแล้วครับ คราวนี้ไปดูน้ำพุเต้นระบำ สวย ซวย
จะตามไปอ่านของคุณสุนะครับ