หมอบ้านนอกไปนอก(94): สวรรค์บนดิน


โลกสร้างมนุษย์ให้มีสมองสองซีกเอาไว้คิดวิเคราะห์เชิงเหตุเชิงผลกับเอาไว้ซึมซับสรรค์สร้างความงดงามอันเป็นสุนทรียภาพของโลก สวรรค์นรกอยู่ไม่ไกลแค่ในใจเรา หากใจเรามองเห็นความงดงามแห่งสรรพสิ่ง โลกก็คือสวรรค์นั่นเอง

สายตาและจิตใจยังคงหลงใหลและเสียดายความงดงามของนครปรากแต่เวลาไม่เอื้ออำนวยให้โอ้เอ้เพราะจะตกรถไฟ ลงจากเมโทรก็รีบเดินกึ่งวิ่งไปขึ้นขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟปรากไปเมืองCesky Budejovice เพื่อไปต่อรถไฟไปสิ้นสุดที่กรุมลอฟ (Cesky Krumlove) เมืองเล็กๆในโบฮีเมียตอนใต้ ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่ตู่ถึงจัดให้ไปพักค้างคืนและเที่ยวเมืองนี้ ผมไม่รู้จักเลยจริงๆ พี่ตู่นั่งรถบัสไปตั้งแต่บ่ายสามโมงน่าจะถึงที่พักก่อนแล้ว

รถไฟที่นั่งไปนี้แล่นออกไปสู่เมืองชนบทเล็กๆ เขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า เป็นรถไฟไม่มีแอร์เหมือนรถไฟชั้นสามบ้านเรา ได้รับลมธรรมชาติรอบทิศทาง ด้วยความเหนื่อย เพลียและล้าก็งีบหลับกันไปเป็นระยะๆ รถไฟจอดเกือบทุกสถานี ช้าและผิดเวลา กว่าจะไปถึงCesky Budejovice เกือบสองทุ่ม ผมใจไม่ดีคิดว่าเราน่าจะตกรถไฟขบวนที่จะไปยังCesky Krumlov ที่เราจองที่พักไว้แล้ว คิดในใจว่าจะหาที่พักนอนในเมืองบูเดโจวิซได้ไหม

พอรถไฟจอดสถานีปุ๊บผมรีบลากกระเป๋าลงไปดูตารางรถไฟและเห็นว่ารถไฟจอดอยู่ที่ชานชาลาหนึ่งขบวน และก็ใช่ขบวนที่เราต้องขึ้นพอดี ได้ความว่าเขารู้ว่าผิดเวลาเขาจึงจอดรอผู้โดยสารเพราะถ้าไม่รอแล้วผู้โดยสารจะตกรถไฟและตกค้างที่สถานีได้ รถไฟขบวนนี้เป็นขนาดเล็กมีแค่ 2 ตู้เท่านั้น สองทุ่มแล้ว แดดหายไป แต่ความส่วางยังคงอยู่ ทำให้ไม่ร้อน ไม่มีแอร์ก็ไม่ร้อน มองทิวทัศน์ที่รถไฟพาเราผ่านไปได้ดี เส้นทางรถไฟสายนี้งดงามเป็นธรรมชาติมาก ทางรถไฟลัดผ่านไปตามทุ่งหญ้ากว้างเขียวขจี เนินเขา ป่าไม้ สระน้ำ สองทุ่มแล้วพระอาทิตย์ยังคงให้แสงสว่างอ่อนๆ เราพ่อแม่ลูกนั่งคุยกันไปอย่างมีความสุข โล่งใจที่ไม่ตกรถไฟและได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง

ผมนึกถึงชีวิตสมัยเด็กๆที่ไปอยู่ในไร่โป่งกว้าวที่ศรีสัชฯกับพ่อแม่ ท้องทุ่งเขียวขจีไปด้วยถั่วเหลืองที่ชาวไร่ปลูกไว้ มองเห็นเป็นผืนเดียวกันจนสุดสายตา มีต้นไม้ใหญ่มาบดบังบ้างในบางจุดเท่านั้น ยามเย็นเดินไปตามทางดินเล็กๆที่เป็นรอยต่อของที่ดินแต่ละผืน รับลมเย็นที่พัดมาอย่างสดชื่น กลิ่นไปของธรรมชาติสมัยนั้นยังติดอยู่ในใจไม่จาง ขณะนั่งรถไฟอยู่นี้อดคิดอิจฉาคนเช็กไม่ได้แม้จะเป็นพื้นที่ชนบทห่างไกลและประเทศที่ยังไม่ร่ำรวยเจริญมากนัก แต่ชาวบ้านก็มีรถไฟไปรับส่งตามชุมชนเล็กๆไปตลอด ยิ่งใกล้ถึงทิวทัศน์ยามเย็นก็ยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ จากทุ่งหญ้าเปลี่ยนเป็นเนินเขา โตรกธารและป่าไม้น้อยใหญ่ หรือนี่คือเสน่ห์แห่งกรุมลอฟ รถไฟจอดสถานีเล็กๆที่ผ่านทุกสถานีจนถึงจุดหมายปลายทางสถานีกรุมลอฟในเวลาเกือบสามทุ่ม

สถานีรถไฟเล็กๆ มีแผนที่วางตั้งอยู่ด้านหน้า มองไม่ออกว่าจะไปทางไหนดี เมืองอยู่ไหนก็ไม่รู้ พยายามดูแผนที่ทางไปโรงแรมและเดินไปขอแผนที่จากคนขายตั๋วรถไฟ เดินไปตามแผนที่ แผนที่เมืองนี้ที่เป็นภาพวาดดูเหมือนเมืองในนิทาน เป็นภาพของหมู่บ้านเล็กๆที่มีแม่น้ำไหลโค้งคดเคี้ยวเป็นรูปเกือกม้า มีจัตุรัสเล็กๆกลางเมือง มีปราสาทตั้งอยู่บนหน้าผาอีกด้านหนึ่งของลำน้ำ เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักดี ดูจากแผนที่แล้วโรงแรมที่เราจะไปพักอยู่ไม่ใกล้เลย แต่เวลานี้ยังไงก็ต้องเดินไปไม่มีรถรับจ้าง สองขาพาไปสองใจมุ่งมั่น เด็กๆก็ห้ามโอดครวญเพราะยังไงก็มาจนจะถึงที่พักแล้ว แต่พอแดดร่มลมตกเด็กๆก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีก เลยไม่มีใครงอแงเพราะถ้าเกิดงอแงก็จะทำให้พ่อกับแม่พาลหงุดหงิดได้ แต่บรรยากาศยามเย็นเหนือเมืองกรุมลอฟนี่สวยงามเอาการ หากไม่เหนื่อยจากการเดินทางแล้วเดินจูงมือมากับภรรยาสองคนคงโรแมนติกมาก

เราเดินไปบนถนนลาดยางเล็กๆ ที่พาเราลาดลงพื้นที่ต่ำเรื่อยๆ ไม่มีแดด ฟ้าสว่างอยู่ ลดพัดเย็น ไม่ร้อน ทิวทัศน์บนเนินเหนือเมืองกับสายลมเย็น แม้จะล้าและต้องลากกระเป๋าใบใหญ่ก็ยังคงทำให้เกิดความสุขสบายได้อย่างมาก ลากกระเป๋าเดินไปเรื่อยๆ บางช่วงเป็นบันไดหินแคบๆที่ต้องแบกกระเป๋าลงไปไม่สามารถลากได้ เดินไปเรื่อยๆจนข้ามสะพานที่มีถนนลาดยางลอดอยู่ข้างใต้จนเข้าเขตตัวเมืองใช้เวลาเดินเกือบ 1 ชั่วโมง ไม่น้อยเลย ไม่เหนื่อยแต่ปวดแขนเพราะยกและลากกระเป๋ามาไกล

เข้าเขตเมืองถนนแคบๆปูด้วยหินรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ทำให้ลากกระเป๋าอย่างลำบาก กลัวล้อจะขอลาตัวกระเป๋าจังเลย เส้นทางเดินพาผ่านบ้านหลังเล็กๆคล้ายบ้านตุ๊กตาหลากสีสันเรียงติดๆกันไม่เว้นว่าง ที่ชาวบ้านใช้เป็นที่อยู่อาศัยและประกอบกิจการค้าขาย เห็นโรงแรมเล็กๆน่ารัก บางแห่งก็ดูเก่า แต่เนื่องจากเรามามืดแล้วทำให้บนถนนคนเดินไปมาน้อยมาก ร้านรวงต่างๆทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขนมเนยก็ปิดทำการหมดแล้ว เดินข้ามสะพานข้ามน้ำวัลตาวาสายเล็กๆบนสะพานไม้น่ารัก แหงนมองไปเบื้องบนมองเห็นปราสาทตั้งตระหง่านอยู่ชิดชะง่อนผา เชิงบันไดทางขึ้นปราสาทอยู่ใกล้ๆธนาคาร ระหว่างถนนหลักมีถนนหินเล็กๆเป็นตรอกซอกซอยคดเคี้ยวเข้าไปข้างใน

กรุมลอฟ เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ตึกเตี้ยๆ หลังคามีสีสัน ไม่มีรูปปั้นประดับประดา แต่อาคารมีลวดลายให้ชม เราเดินผ่านจตุรัสเล็กๆแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปสักหน่อยก็มาถึงหน้าโรงแรมเจอพี่ตู่มายืนคอยด้วยความกระวนกระวายใจ เจ้าของโรงแรมสองผัวเมียท่าทางใจดีกำลังจะกลับบ้านพักแล้ว เรามาผิดเวลามาก พี่ตู่ก็เป็นห่วงกลัวเราจะหลงทาง ถามไถ่กันพักหนึ่ง เด็กๆดีใจที่ได้เจอลุงตู่กับป้าปุ๊

Hostel Merlin ที่พักเป็นบ้านหลังเล็กๆมีไม่กี่ห้องตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวา เราจองสองห้องๆละ 2 เตียง (ห้องละ 21.12 ยูโร) มีที่ทำครัวให้ เอ้กับพี่ตู่ช่วยกันทำอาหาร เรากินอาหารด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อยโรงแรมมีห้องอาบน้ำรวม เราทั้งครอบครัวมีความเห็นร่วมกันแม้ยังไม่ได้เดินชมเมืองมากนักว่าเมืองนี้สวยงามมาก ผมจึงเข้าใจได้ว่าทำไมพี่ตู่ถึงได้วางโปรแกรมมาชมเมืองเล็กๆท่ามกลางป่าเขาแห่งชนบทนี้ อาบน้ำเสร็จก็เข้านอนเก็บเรี่ยวแรงไว้เดินเที่ยวต่อพรุ่งนี้ 

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม 2551 ตื่นเช้า กินข้าวเช้าแล้ว สายแล้วกว่าจะได้เดินขึ้นไปเที่ยวชมทิวทัศน์รอบๆเมือง เพราะเสียเวลาไปกับการรอคอยเช็คเอาท์ที่นานมาก ยามเช้าผู้คนพลุกพล่านต่างจากเมื่อคืนที่เรามามาก ร้านรวงต่างๆเปิดทำการ ให้คนได้จับจ่ายใช้สอย เดินมาจนถึงบันไดทางขึ้นปราสาท ที่ไม่สูงมากนัก เดินขึ้นไม่ถึงกับหอบแฮก แต่ก็เหนื่อยเหมือนกันเมื่อถึงฐานปราสาท บนลานด้านหน้าปราสาทลมพัดเย็นคลายความเหน็ดเหนื่อยไปได้ บนราวสะพานทางเดินเข้าปราสาทด้านข้างสองข้างเป็นบ่อเลี้ยงหมี หมีตัวใหญ่บ่อละตัว เดินเล่นอุ้ยอ้ายอยู่ในบ่อ เดินตรงเข้าไปเป็นลานกว้างแล้วก็เป็นทางแคบๆทะลุผ่านปราสาทเป็นชั้นๆ

ดูตามแผนที่จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือบ่อหมี หอคอย ลานตึกด้านนอก ส่วนที่สองเป็นตึกชั้นในเป็นที่พักสมัยก่อน เดินผ่านได้แต่ถ้าจะเข้าชมภายในต้องซื้อตั๋ว ส่วนที่สามคือโรงละครโบราณและลานชมวิว ส่วนที่สี่เป็นบริเวณสวนไม้ดอกที่ทำคล้ายๆปราสาทในออสเตรีย เราเดินไปถ่ายรูปและนั่งพักที่ลานตึกด้านนอก มีต้นไม้ใหญ้และเก้าอี้ให้นั่งพักได้ เดินผ่านเข้าไปในป้อมปราการ มีช่องแคบๆให้มองวิวได้แล้วก็ไปจนถึงทางเชื่อมระหว่างปราสาทที่ทอดตัวอยู่เหนือลำน้ำและมองลงไปเห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านหลังเล็กหลังน้อยหลากสีสัน มีคนเปรียบเทียบว่าหากข้างบนเป็นปราสาทในเทพนิยาย ข้างล่างก็เปรียบได้กับหมู่บ้านในนิทาน หมู่บ้านและปราสาทต่างก็พึ่งพาอาศัยกันและเติมเต็มความงดงามให้แก่เมือง

เราไม่ได้เข้าไปชมในสวนสวยที่ว่า รีบเดินกลับออกมาเพื่อจองตั๋วเข้าไปชมภายในปราสาทที่เขาจัดเป็นรอบๆ รอบเวลาที่เหลือช้าเกินไป เราจะเดินทางออกจากกรุมลอฟไม่ทันรถบัส จึงไม่ได้เข้าไปชมภายในปราสาทและไม่ได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์บนหอคอย แม้ไม่สูงมากแค่ 70 เมตรเท่านั้น กรุมลอฟเป็นเมืองมรดกโลก มีประชากรราว 13,000 คน สามารถรักษาสภาพความเป็นเมืองเก่าไว้อย่างดี จึงดึงดูดใจให้นักท่อเงที่ยวมาชมมาก

เอ้แวะร้านขายของที่ระลึกในปราสาท ซื้อหนังสือเที่ยวกรุมลอฟมาเล่มหนึ่ง ภาพสีสวยน่าดู แม้เราไม่ได้ขึ้นก็ขอเก็บหนังสือมาดูเป็นที่ระลึกก็ยังดี เราเดินลงมาจากปราสาท เจอพี่ตู่ที่ไปจองตั๋วรถบัสไว้แล้ว ผมตัดสินใจเดินทางออกเร็วขึ้นตามเวลารถบัสเนื่องจากเกรงว่าหากไปตามเวลารถไฟแล้วเกิดช้ากว่ากำหนดอีก ผมไปที่สถานีรถบัสสอบถามเรื่องตั๋วเขาบอกว่าไม่ต้องจองให้ไปซื้อตอนขึ้นรถเลย รีบเดินกลับโรงแรมเพื่อเอากระเป๋า

สถานีรถบัสอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเพราะถนนในเมืองขนาดเล็ก เขาจึงไม่ให้รถใหญ่เข้าไป ผมเองขามามารถไฟก็ไม่รู้ว่าสถานีรถบัสอยู่ตรงไหน และอีกอย่างถ้าจะลากกระเป๋าไปตามถนนหินขึ้นลงตามเนินเขาก็เกรงว่าจะช้าและกระเป๋าจะชำรุดจึงขึ้นแท๊กซี่ไปในราคา100 Czk ประมาณ 10 นาทีก็ถึงสถานีรถบัส พี่ตู่กับพี่ปุ๊ซื้อตั๋วรถของบริษัทหนึ่งไว้แล้ว ในขณะที่ผมต้องไปรอรถของอีกบริษัทหนึ่ง แต่ก็ไปขอต่อรองขึ้นรถคันเดียวกันและเขายอมให้ซื้อตั๋วบนรถได้ (ผู้ใหญ่ 35 Czk เด็กครึ่งราคา) จึงได้นั่งรสบัสกลับพร้อมกัน หลับบ้างตื่นบ้าง น่าเสียดายอีกแล้วที่ยังไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามและโรแมนติกของเมืองเล็กๆแห่งนี้

 รถบัสใช้เวลาวิ่งไปตามถนนลาดยางแบบสองเลนโค้งไปโค้งมาสัก 35 นาทีก็ถึงเมืองCesky Budejovice ลงรถตรงหน้าห้างสรรพสินค้า แล้วหลบเข้าไปตากแอร์ ลงบันไดเลื่อนไปใต้ดินไปโผล่ที่สถานีรถไฟ นั่งรถไฟไปเมืองLinz ตอนเวลา 12:09 น. รถไฟช้าไป 30 นาที เป็นรถไฟแบบหวานเย็น แดดจ้า ฟ้าใส ทิวทัศน์สวย ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทางที่ผ่าน

สองชั่วโมงก็ถึงลินซ์ (Linz) เมืองใหญ่อันดับ 3 ของออสเตรีย เมืองหลวงของรัฐอัปเปอร์ออสเตรียมีประชากร 1.9 แสนคน นั่งแทรมเข้าไปในย่านตัวเมืองเก่าที่ลานจัตุรัสฮอฟที่มีอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากการระบาดของกาฬโรค ชมทิวทัศน์บนสะพานข้ามแม่น้ำดานูบ เดินชมเมืองท่ามกลางความร้อนระอุของอากาศ อาคารโบราณหลังไม่ใหญ่นักบนถนนแลนด์สแตรบ ผู้คนเดินกันมากพอควร เป็นเมืองเก่าที่มีความสมัยใหม่ ด้วยความร้อนของแดดที่แผดเผา ไอศครีมจึงเป็นของกินที่ช่วยกระตุ้นความสดชื่นได้อย่างดี นั่งแทรมกลับสถานีรถไฟ ลินซ์ยังมีจุดน่าเที่ยวอีกเยอะ แต่เวลาไม่มี น่าเสียดายอีกแล้ว

เวลา 17:15 น. ขึ้นรถไฟต่อไปสิ้นสุดปลายทางที่ซาลส์บรวก (Salzbrug) รัฐซาลส์บรวก ออสเตรีย (ดินแดนแห่งขุนเขา) รถไฟเสียเวลาไปนิดหน่อยถึงตอน 19:30 น. ขอแผนที่แล้วเดินไปโรงแรมออกทางซ้ายสถานีรถไฟแล้ววกข้ามสะพานแม่น้ำซัลซัค ลงจากสะพานแล้วเลี้ยวซ้ายเลาะริมฝั่งน้ำไปจนถึงโรงแรมStrawberry Youth Hostel เป็นห้องใหญ่ 4 เตียง (ราคา 100 ยูโร) สะอาด กินอาหารเย็นแล้วพักสักครู่ ออกเดินไปเดินทางถนนด้านหลังโรงแรม แล้วขึ้นรถบัสไปย่านเมืองเก่า เดินเที่ยวชมเมืองยามเย็น แดดยังคงส่องแสงอ่อนๆ

ซาลส์บรวกเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของออสเตรีย เป็นเมืองเก่าบนเทือกเขาแอลป์ ที่ยังคงเก็บรักษาสถาปัตยกรรมแบบบาร็อกไว้อย่างดี เป็นเมืองมรกดโลก เป็นบ้านเกิดของโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ทและเป็นฉากของภาพยนตร์เพลงมนต์รักเพลงสวรรค์ (The Sound of Music) มีประชากรราว 1.5 แสนคน ได้ชื่อเป็นเมืองนักศึกษา มีมหาวิทยาลัยถึงสามแห่ง แบ่งออกเป็น 24 อำเภอเมืองและ 3 ชุมชนนอกเมือง อยู่ห่างจากมิวนิค 150 กม.และห่างเวียนนา 300 กม.

ลงจากรถบัสย่านใจกลางเมือง เดินชมป้อมปราการใหญ่บนภูเขา เดินลัดเลาะเข้าไปที่เชิงเขา มีรถไฟให้ขึ้นไปชมได้ แต่เราไม่ได้ขึ้นไป บรรยากาศยามเย็น อาทิตย์ใกล้ลับฟ้า ช่วยส่งประกายให้ป้อมปราการนี้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น เดินไปลานอนุสาวรีย์โมซาร์ท บ้านเกิดโมซาร์ท เดินไปที่ถนนเกไทรเด้ ถนนช็อปปิ้งที่มีการตกแต่งไว้อย่างดงามด้วยลวดลายเหล็กดัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเมือง เดินชมของซื้อของขายที่คลาคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว

ความมืดโรยตัวเข้ามา เดินได้สักพัก เด็กๆขอกินไอศครีมกัน เดินจนถึง 4 ทุ่มก็เดินเลาะริมฝั่งน้ำกลับที่พัก ความมืดยามค่ำคืน แสงไฟหลากสีสัน ช่วยทำให้การเดินในค่ำคืนนี้มีความสุขอย่างมาก สายลมเย็นพัดมาเป็นระยะ ทั้งสองฝั่งน้ำซัลซัคเป็นอาคารเก่าล้ำค่าที่ถูกเก็บรักษาอย่างดีเมื่อต้องแสงไฟให้งดงามยิ่งนัก หันหลังกลับไปดูป้อมปราการบนยอดเขา ความมืดแห่งท้องฟ้าช่วยขับให้ความสว่างแห่งแสงไฟที่ตกกระทบตัวปราสาทงามดั่งพระราชวังบนสวรรค์ในเทพนิยาย

ซาลส์บรวก เมืองโรแมนติกที่มีแม่น้ำผ่านกลางนี้ ยามค่ำคืนช่างงดงามยิ่งนัก กลับถึงที่พักแล้วแวะดูเน็ตเพื่อติดตามข่าวคราวและดูตารางรถไฟ แล้วก็เข้านอนหลับอย่างเปี่ยมสุข

พิเชฐ  บัญญัติ(Phichet Banyati)

บันทึกประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 เวลา 22.35 น. (ซาลส์บรวก)

24 พฤษภาคม 2552

หมายเลขบันทึก: 262924เขียนเมื่อ 24 พฤษภาคม 2009 11:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2012 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท