> ตอนที่ 16
วัยที่เต็มไปด้วยความรัก
หลังจากหัวใจเดาะ ผมเริ่มที่จะจีบผู้หญิงไปเรื่อย ๆ ไม่จริงจังกับใครเป็นพิเศษ ที่พูดว่าไม่จริงใจกับใครเป็นพิเศษเพราะว่ากลัวจะอกหักอีก มีเพื่อนหญิงผ่านมาในชีวิตหลายคนซึ่งบางคนเราคิดว่าคนนี้น่ะแน่นอนต้องแต่งงานด้วย พอคิดเช่นนั้นเราก็โดนทิ้ง แต่ละคนเข้ามาแล้วก็ผ่านไป พูดถึงเรื่องของความรักตอนนั้นเหมือนเป็นความรักของวัยรุ่น โดนเขาทิ้งบ้าง และทิ้งเขาบ้าง ถ้าจะถามถึงความรู้สึกว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับการที่โดนถูกเขาทิ้งหรือโดนเขาหรอก เป็นธรรมดาครับต้องเสียใจ เรามานึกกับกันเวลาเราทิ้งเขา ๆ ก็คงจะเสียใจเหมือนที่เราเสียใจ หากจะให้เล่าถึงความรักในวัยรุ่นแล้วมีทั้งสุขสนุกสนาน และทุกข์ ความสุขคงไม่ต้องเล่าถึงมาเล่าประสบกราณ์ความทุกข์ให้อ่านกันดีกว่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์
ผมมีเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นกับผมสองเรื่อง เนื้อเรื่องคล้าย ๆ กันมาก ผมจะเล่าเรื่องแรกให้อ่านก่อนล่ะกันครับเรื่องมีอยู่ว่าผมรู้จักหญิงคนหนึ่งโดยในขณะนั้นเธอเป็นลูกจ้างขององค์การโทรศัพท์ (เธอบอกกับผมในขณะนั้น) เรารู้จักกันโดยผมโทรศัพท์ติดต่อไปหาเธอเพื่อให้เธอติดต่อโทรศัพท์ทางไกลไปต่างประเทศ ให้กับลูกค้าของโรงแรม อย่างที่ผมเล่าให้ผู้อ่านได้อ่านตั้งแต่แรกผมทำงานโรงแรมทำเกือบทุกหน้าที่ เป็นทั้งรีเซฟชั่น โอเปอร์เรเตอร์ เด็กยกกระเป๋า บ๋อย บาเทนเดอร์ แคชเชียร์ เรียกง่าย ๆ งานโรงแรมมีหน้าที่อะไรทำเกือบจะทุกหน้าที่ เรื่องที่รู้จักกับหญิงที่อ้างว่าทำงานอยู่องค์การโทรศัพท์เพราะผมติดต่อโทรศัพท์ทางไกลให้แขกเป็นประจำและเธออยู่กะดึก โทรไปติดต่อเมื่อใดจะคุยกับเธอเป็นประจำจนจำเสียงเธอได้เสียงเธอไพเราะพูดจาเพราะม๊าก ๆ เมื่อผมจะใจใช้บริการโทรทางไกล เมื่อผมโทรไปที่ศูนย์ และจะบอกเลขโค๊ตของเธอ ในบางครั้งเมื่อผมหรือเธอเหงาก็จะโทรหากันจนเป็นเหตุให้นัดกันเพื่อจะดูตัวกัน ก่อนที่จะพบกันต่างคนต่างบอกว่าตัวเองไม่หล่อ และไม่สวย พบกันครั้งแรกผมบอกกับเธอว่าผมจะใส่เสื้อยืดสี..ไปยืนอยู่ป้ายรถเมล์หน้าเซ็นทรัลชิดชม เธอบอกมาเช่นกันว่าจะใส่เสื้อสี.. เมื่อถึงเวลานัดผมไปตามนัดส่วนเสื้อผมไม่ได้ใส่ตามที่ผมบอกเธอ สาเหตุเพราะว่าต้องการที่จะดูเธอก่อนว่าหน้าตาพอใช้ได้ไหมแต่ผมก็ไม่ลืมพกเสื้อสี.. ตามที่ตกลงกันไว้
เมื่อไปถึงเห็นว่าเธอยืนอยู่แล้วแต่ยังไม่แน่ใจยืนดูจนแน่ใจสักพักผมจึงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อในห้างฯ พอออกมาจากห้างเธอยังอยู่ผมจึงเข้าไปทักทายผมชวนเธอเข้าไปเดินเล่นในห้าง อยู่สักสองชั่วโมงได้ก็แยกย้ายกันกับเพราะต่างคนต่างต้องไปทำงาน หลังจากนั้นมีการติดต่อกันทางโทรศัพท์กันเป็นประจำจนในที่สุดนัดกันอีกครั้งแต่ครั้งนี้นัดเธอไปดูหนังแถวประตูน้ำเมื่อดูหนังเสร็จ ทานข้าวเย็นด้วยกันจากนั้นผมชวนเธอไปที่ทำงาน เธอก็ยอมไป ผมลืมบอกเธอไปว่าที่พักของผมอยู่หลังที่ทำงาน (ที่ทำงานผมกินอยู่เสร็จ) เมื่อเธอมาถึงที่ทำงานผม ๆ พาเข้าไปดูที่ทำงานผมนั่งคุยกันอยู่จนดึก ผมเห็นว่าดึกมาแล้ว ผมเอ่ยปากชวนเธอให้นอนที่ห้องพักของผม และผมบอกกับเธอว่าผมจะไปนอนห้องเพื่อนเธอตกลงยินยอมที่จะนอนที่ห้องผม
คืนนั้นเราไม่มีอะไรมากไปกว่าได้สัมผัสภายนอกกันและมีรอยจูบที่คอของกันและกัน ผมชี้ที่คอผมให้ดูเหมือนกัน (รอยจ้ำที่คอไม่ใช่เพิ่งจะมีสมัยนี้มีมานานแล้วครับ) พอรุ่งเช้าผมไปส่งเธอขึ้นรถแล้วกลับมาทำงาน พอตกบ่าย ๆ ผมไปเรียน หลังจากโรงเรียนเลิกผมกับมาที่ทำงาน งานเข้าทันทีเพื่อนที่ทำงานบอกว่าวันนี้ตอนที่ผมไปเรียนผู้หญิงที่ผมพามาด้วยเมื่อคืนมาหาไม่ได้มาคนเดียวมีแม่ และตำรวจมาด้วย บอกว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ตอนเช้าบอกให้ผมรอด้วย คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยจะหลับไม่รู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา พอเช้าประมาณแปดโมงกว่า ๆ เธอมาพร้อมแม่ และตำรวจ 1 นาย เพื่อสะดวกในการคุย ผมพาพวกเขาทั้งหมดเข้าไปพบผู้จัดการ ตำรวจเป็นคนพูดเริ่มต้นเลยว่าเมื่อคืนก่อนลูกน้องของคุณพาลูกสาวของป้าคนนี้มาที่นี้เมื่อลูกสาวขอกลับไม่ยอมให้กลับ หน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืน
ผมได้ยินข้อกล่าวหาตกใจ และพูดโต้แย้งไปว่าไม่ได้ทำอะไร แม่เขาชี้รอยช้ำที่คอ ลูกสาวและอีกที่หนึ่งบริเวณตรงหน้าอก ให้ผู้จัดการผมและตำรวจดูว่าเป็นรอยช้ำเนื่องมาจากการที่บีบบังคับหน่วงเหนี่ยวเธอ ผมบอกว่ารอยที่เป็นนั้นไม่ใช่เป็นรอยที่หน่วงเหนี่ยวหรือมือบีบ เป็นรอยที่ต่างคนต่างมีเนื่องมาจากการจูบหรือการดูด ถ้าไม่เชื่อผมจะลองให้ดูอีกรอยเอาไหมครับ ฝ่ายแม่บอกให้ตำรวจจับผมเพราะเขาเชื่อว่าผมกักขังหน่วงเหนี่ยว และพยายามจะข่มขืนลูกสาว ตอนนั้นผมท้าให้ไปพิสูจน์เหมือนกันว่าผมไม่ได้ล่วงละเมิดทางเพศเลย เจ้านายผมเห็นว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่และดูท่าทางว่า แม่ของเขาต้องการเงินแน่ ๆ จึงได้คุยกับผมและกระซิบผมว่าต้องยอมให้เงินเข้าไม่งั้นเข้าปิ้งแน่ ๆ จากนั้นเริ่มมีการเจรจากันเค้าเรียกมาที่ สามหมื่น โอ้โอ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาให้
หลังจากนั้นมีการต่อลองกันขอความเห็นใจว่าผมเองตอนนี้เรียนหนังสือเงินทองก็ไม่มี เจ้านายผมในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยช่วยไกล่เกลี่ยสุดท้ายสรุปต้องจ่ายหนึ่งหมื่นบาท เพราะแม่เขาบอกถ้าไม่ได้หนึ่งหมื่นจะให้ตำรวจนำตัวผมไปโรงพักแน่นอน ผมตัดสินใจโดยที่ผมขอเบิกเงินล่วงหน้าบางส่วนให้ไปก่อน หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์เธอโทรมาหาผมอีกโทรมาขอโทษผมว่าตัวเธอเองไม่ได้คิดที่จะทำอย่างนี้เลยแม่เธอบังคับให้พามาตอนแรกเธอบอกว่ามานอนบ้านเพื่อนแต่แม่เธอไม่เชื่อและสังเกตุที่คอมีรอยช้ำจึงเค้นเอาความจริงเธอจึงเล่าความจริงให้ฟัง เรื่องเลยลงเอยอย่างนี้เรา ขอโทษน่ะแล้วเราจะคบกันต่อไปได้หรือเปล่าเป็นเพื่อนก็ได้ ผมบอกเธอไปว่าวันนั้นต้องขอขอบคุณที่ไม่ยอมผมถ้ายอมผม ผมคงจะเข้าไปนอนในคุกแล้วหรือไม่ผมคงได้แม่ของคุณมาเป็นแม่ยายผมแล้ว การเป็นเพื่อนคงไม่ได้เสียหายอะไรแต่มันคงไม่สนิทใจน่ะ ผมมารู้ทีหลังจากการที่ได้โทรศัพท์ไปถามเพื่อนที่ทำงานที่เดียวกับเธอว่าเธอเองไม่ได้เป็นพนักงานองค์การโทรศัพท์แต่เป็นลูกจ้างชั่วคราว เธอเองหลังจากที่มีเรื่องแล้วโทรหาผมประมาณสามครั้งหลังจากนั้นก็หายเงียบไปเลยไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ไม่มีความเห็น