ในร่างกฎกระทรวงข้อ ๔ ที่กล่าวถึงแนวปฏิบัติของสถานพยาบาล มีดังต่อไปนี้
สถานพยาบาลอาจกำหนดแนวปฏิบัติหรือระเบียบภายใน เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาล สามารถปฏิบัติงานได้สะดวกตามกฎกระทรวงนี้
ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยู่ระหว่างพัฒนาแนวปฏิบัตินี้ ร่วมกับแพทย์ พยาบาล และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องนโยบายของสถานพยาบาล รายละเอียด ที่นี่
นโยบายของสถานพยาบาล
๑.
สถานพยาบาลแต่ละแห่งควรเผยแพร่ความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำหนังสือแสดงเจตนาตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒ ให้แก่แพทย์ พยาบาล
และเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาล
๒. ควรให้ข้อมูล คำแนะนำในการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ
แก่ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มว่าอาจถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในขณะใดขณะหนึ่ง
รวมถึงแจ้งให้ญาติ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยทราบ
๓. ควรจัดเตรียมแบบฟอร์มหนังสือแสดงเจตนาของสถานพยาบาล
และเอกสารเผยแพร่ความรู้
ขั้นตอนการปฏิบัติของแพทย์
พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาล
๑. เมื่อผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุข
เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลควรสอบถามว่า
ผู้ป่วยเคยทำหนังสือแสดงเจตนาหรือไม่ และปฏิบัติตามขั้นตอน
ดังนี้
๑.๑ กรณีที่ผู้ป่วยไม่เคยทำหนังสือแสดงเจตนา- ควรพิจารณาให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยแต่ละรายตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีแนวโน้มว่า อาจถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในขณะใดขณะหนึ่ง และให้คำนึงถึงช่วงเวลา จังหวะ บรรยากาศที่เหมาะสมในการพูดคุยเรื่องนี้
- อธิบายวัตถุประสงค์ในการทำหนังสือแสดงเจตนาตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติโดยสังเขปให้แก่ผู้ป่วย คนในครอบครัว และคนใกล้ชิดทราบ และสอบถามความประสงค์ในการทำหนังสือนี้
- ถ้าผู้ป่วยมีความสนใจที่จะทำหนังสือดังกล่าวและมีสติสัมปชัญญะดีพอที่จะสื่อสารได้ ก็ให้อธิบายถึงข้อดี ข้อเสีย ความจำเป็นในการทำหนังสือแสดงเจตนา
- แพทย์ควรให้ข้อมูลทางเลือกในการรักษาต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของผู้ป่วย แนวทางการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุดท้าย คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเปรียบเทียบกับการรักษาที่มุ่งยื้อชีวิตหรือยืดการตายในวาระสุดท้าย รวมทั้งให้ข้อมูลค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยประมาณ
- ให้คำแนะนำในการทำหนังสือแสดงเจตนาตามแบบฟอร์มที่สถานพยาบาลจัดเตรียมไว้ โดยอาจใช้แบบฟอร์มที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเผยแพร่เป็นตัวอย่าง
๑.๒ กรณีที่ผู้ป่วยเคยทำหนังสือแสดงเจตนา
-
พิจารณาเนื้อหาหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วยที่ได้รับจากผู้ป่วยหรือญาติ
หากได้รับสำเนาหนังสือแสดงเจตนาหรือไม่แน่ใจเรื่องเอกสาร
เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลมีดุลพินิจพิจารณาความถูกต้องของหนังสือแสดงเจตนา
โดยควรติดต่อบุคคลที่มีชื่อระบุในหนังสือแสดงเจตนา ได้แก่
บุคคลใกล้ชิดที่ได้รับมอบหมายให้ตัดสินใจตามความประสงค์ของผู้ป่วย
(ถ้ามี) พยาน หรือญาติผู้ป่วย
- ถ้าผู้ป่วยยังมีสติดีอยู่ ให้ขอคำยืนยันความประสงค์ที่จะให้ปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าวอีกครั้ง
- เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลแล้ว ให้จัดเก็บหนังสือดังกล่าวไว้ในเวชระเบียนของผู้ป่วย
ตลอดเวลาที่รักษาตัวอยู่
หรือบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ พยาบาล
และผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทราบทั่วกัน
และปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วยตามหนังสือแสดงเจตนานั้น
วิธีปฏิบัติในการเก็บรักษาหนังสือแสดงเจตนาในกรณีอื่นๆ มีดังนี้
ก) หากผู้ป่วยถูกย้ายไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลอื่น
หรือถูกจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล
ก็ให้คืนหนังสือแสดงเจตนานั้นแก่ผู้ป่วยหรือญาติ และควรประสานงาน
แจ้งเรื่องดังกล่าวแก่สถานพยาบาลที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวต่อไป
ข) กรณีที่ผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลหลายครั้ง
ก็ควรขออนุญาตผู้ป่วยจัดเก็บสำเนาหนังสือแสดงเจตนาที่มีการรับรองความถูกต้องไว้ในเวชระเบียนของผู้ป่วย
ค) ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาตามหนังสือแสดงเจตนาแล้ว
ต่อมาผู้ป่วยเสียชีวิตลง
ให้เก็บหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวหรือสำเนาเอกสารไว้ในเวชระเบียนของผู้ป่วย
๓. แพทย์ พยาบาล และผู้ประกอบวิชาชีพทุกคน
มีหน้าที่ให้การดูแลในเบื้องต้นที่จำเป็น
และควรดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตให้ตรงตามความประสงค์ที่แท้จริงของผู้ป่วยที่ระบุไว้ในหนังสือแสดงเจตนารวมทั้งคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
๔. ถ้าหนังสือแสดงเจตนามีเนื้อหาไม่ชัดเจน หรืออาจมีปัญหาในการปฏิบัติ
เช่น หนังสือแสดงเจตนาได้ทำไว้เป็นเวลานานหลายปี
หรือไม่ครอบคลุมวิธีการรักษาในปัจจุบัน แพทย์ควรปรึกษาหารือกับผู้ป่วย
(กรณีที่ยังมีสติดีอยู่)
หรือบุคคลใกล้ชิดที่ผู้ป่วยมอบหมายให้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้
หรือปรึกษาญาติผู้ป่วยในกรณีที่ไม่มีการระบุชื่อบุคคลใกล้ชิดที่มีอำนาจตัดสินใจ
เช่น สามี ภริยา บิดา มารดา บุตร ฯลฯ
๕. สถานพยาบาลควรแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานของสถานพยาบาล
เพื่อทำหน้าที่พิจารณากำหนดนโยบายหรือแนวปฏิบัติต่างๆ ของสถานพยาบาล
รวมทั้งการหาข้อยุติในกรณีต่างๆ
๖.
กรณีที่ผู้ป่วยถูกนำตัวมารักษาในสถานพยาบาลจนกระทั่งอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ภายหลังทราบว่าผู้ป่วยได้ทำหนังสือแสดงเจตนาไว้
โดยผู้ป่วยไม่ต้องการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทำให้ยืดการตายออกไป
ให้เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลดำเนินการยุติการใช้เครื่องมือดังกล่าวได้ตามความประสงค์ของผู้ป่วย
๗. กรณีเด็กหรือผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคือ มีอายุยังไม่ครบ
๒๐ ปีบริบูรณ์
ต้องการทำหนังสือแสดงเจตนา จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง (บิดา
มารดา หรือผู้ปกครองที่ศาลแต่งตั้ง) โดยแพทย์ พยาบาลจะต้องให้ข้อมูล
และอธิบายแนวทางการรักษาให้ผู้ปกครอง เด็กหรือผู้เยาว์
และอาจต้องมีการวิเคราะห์สภาพจิต อารมณ์ในขณะนั้น
และให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเท่าที่สามารถทำได้
แนวปฎิบัติที่ร่างขึ้นนี้ครอบคลุมประเด็นหลักๆเกี่ยวกับบทบาทของบุคลากรสุขภาพค่อนข้างละเอียดและตรงเป้า เมื่อเห็นกันจะๆแบบนี้แล้ว คนทำงานคงต้องช่วยกันแสดงความคิดเห็นแล้วละครับ
หลายคนคงบ่นว่า งานเข้าอีกแล้ว
หลายคนคงสอดส่ายสายตา หาเจ้าภาพ เรื่องนี้ในโรงพยาบาล
หลายคนบอกว่า ก็ทำอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นเอกสาร
ยังไงผมว่า เราก็คงต้องช่วยๆกัน ค่อยๆปรับ พัฒนา แล้วเอาประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกัน ผมยังมองเรื่องนี้ เป็นโอกาสที่จะทำให้คนหันมาสนใจ งาน palliative care แบบไทยๆเรามากขึ้นครับ
สามารถอ่านรายละเอียดของพ.ร.บ. กฏกระทรวง และโครงการเพิ่มเติมได้ ที่นี่
บันทึกชุดนี้ ผมจบแล้วครับ
เพราะต้องรออ่าน ชุดของน้องเกศต่อ ..๕๕๕
สงสัยว่า ไอ้วิธีเอารูปมาต่อๆกันของน้อง มันมีโปรแกรมทำหรือทำเอง น่าจะนานนะ
อาจารย์คะกุ้งตามพี่เกศมาปริ๊นเอาความรู้ใหม่กับอาจารย์ค่ะ ล่าสุดพึ่งเข้าฟังการพูดคุยแจ้งข่าวร้ายคนไข้ retinoblastoma เเล้วมี bleed ในสมองตอนตี 1 ค่ะ วันนั้นอจารย์หมออรุณีมากลางดึกเลยค่ะ คุยเสร็จกุ้งรีบบันทึกในแบบบันทึกการเเจ้งข่าวร้าย และบันทึกในเเบบบันทึกการให้ข้อมูล เด็กไม่ดีเเล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่ขอปั๊มถ้าหาก หัวใจหยุดเต้น เราเลยต้องเคารพในการตัดสินใจ จึงให้ครอบครัวเซนต์รับทราบว่ายังยืนยันจะปั๊ม เเละดูสถานการณ์แล้วทั้งๆที่อยากบอกว่าไม่ควรปั๊ม เเต่ในความเป็นจริงหากพูดไปก็เสี่ยงต่อกฎหมายเหลือเกิน ต้องให้สิทธิครอบครัวตัดสินเต็มที่ เเต่สุดท้ายเช้ามาพ่อเเม่เปลี่ยนใจ ขอไม่ปั๊มและนำลูกกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน เฮ้อ !..ค่อยยังชั่วสงสารเด็กค่ะวันนี้ทำการบ้านเตรียมตัวเป็นวิทยากรร่วมกับเครือข่ายพุทธิกาหัวข้ออบรม เผชิญความตายอย่างสงบค่ะ พักจากทำการบ้านเลยเเวะมาสวัสดีอาจารย์และมาเรียนเชิญอาจารย์ไปอ่านจดหมายเเม่น้องเต้และเเถมให้อีกเรื่องค่ะ ฟ้าหลังฝนของริน
สวัสดีค่ะ
ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะให้เซ็นที่ใบไม่ยินยอมให้ทำการรักษาค่ะ และเขียนเพิ่มว่าไม่นวดหัวใจ ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจและใส่ไว้ในเวชระเบียนค่ะ
แต่ที่ผ่านมาคนไข้ที่เซ็นซื่อไว้แล้ว มีเปลี่ยนใจต้องปั้มหัวใจกันเป็นเรื่องราวเนื่องจากญาติเขาทำใจไม่ได้แต่เมื่อเราส่งตัวไปโรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัด(โรงพยาบาลเราไม่มีเครื่องช่วยหายใจค่ะ)ไปถึงก็ให้รอรับศพกลับมาเลยญาติก็เสียใจโวยวายว่าไม่ได้สั่งเสียในกรณีเปลี่ยนใจแบบนี้เราจะทำอย่างไรดีคะ
น่าจะมี public debate ที่กว้างขวางสำหรับสาธารณะชน เรื่องนี้มี impact ไม่เพียงแต่ palliative care หรือหมอ พยาบาล หรือคนไข้ terminal เท่านั้น แต่จริงๆแล้วมีผลต่อสังคมโดยรวม คือทุกคน เพราะเรากำลัง address right of citizen ที่เป็นรูปธรรมที่สะท้อนคุณค่าทางนามธรรมเป็นครั้งแรกๆของสังคม
จากกฏหมายฉบับนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ withhold treatment (อย่างที่ผมหรือบางคน) เข้าใจในครั้งแรก แต่ขยายไปถึง withdraw treatment (ความต่างคือ withhold จะไม่ทำอะไรเพิ่ม แต่ withdraw นั้น มีการ "เลิก" หรือระงับบางสิ่งบางอย่างที่กำลังทำอยู่ด้วย ซึ่งในมุมมองของ euthanasia เป็นก้าวต่างที่มีนัยสำคัญ
เดี๋ยวขอไปกินข้าวก่อนครับ ที่บ้านเรียกแล้ว
พักเบรค รายงานความคืนหน้า วันที่ 3 สนุกมาก Role play
อาจารย์หมอเต็มคะกุ้งมีเรื่องจะขอคำปรึกษาอาจารย์ค่ะ คือว่าทางแผนกการพยาบาลกุมารเวชกรรมมีโครงการอยากจะตั้งหน่วย palliative care เเต่เราก็ยังทำงานร่วมกับทีมสหสาขา ทีมนำทางคลินิกกุมารฯ เหมือนเดิม จึงอยากขอคำเเนะนำอาจารย์ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร
คือที่ผ่านมาเราก็ทำได้ค่อนข้างดี เเต่คนทำงานยังน้อย อย่างเช่นพี่เกศก็ทำหลายอย่าง อย่างกุ้งก็ยังทำงาน routine ขึ้นเวรด้วย
เเต่ถ้าออกมาจัดตั้งเป็นหน่วยคิดว่างานเราจะ run ได้ดีกว่านี้อย่างน้อยกุ้งก็ได้ออกมาทำเต็มตัว พี่เกศก็มีคนช่วย เหนื่อยน้อยลง
ตอนนี้กุ้งเอง fight มากๆที่จะออกมาทำเต็มตัว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากพัฒนาในการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายเเละครอบครัว
ท่านผู้ตรวจการเลยให้กุ้งทำการบ้านคือหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วย ทางมอ.ทำมาก่อนเเละถือเป็นต้นเเบบของ palliative กุ้งจึงอยากขอคำปรึกษาค่ะ รบกวนอาจารย์ช่วยด้วยนะคะ
สวัสดีครับน้องกุ้ง
ขอบพระคุณอาจารย์สำหรับข้อเสนอเเนะค่ะ ที่นี่ก็เจอปํยหาอย่างที่อาจารย์พูดค่ะ บุคลากรฝ่ายการพยาบาลก็ขาดคนอยู่แล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากให้เราทำงานคู่ขนานคือทั้งงาน routine และงาน palliative care บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า หมดกำลังใจที่จะทำ เเต่เมื่อเราเห็นสิ่งที่มันเกิดกับคนไข้ที่เราได้ช่วยเหลือพลังก็กลับมา เเต่ไม่รุ้ว่าจะยั่งยืนขนาดไหน กุ้งจึงอยาก fight ให้ตัวเองได้ออกมาเต็มตัว เเต่ทานผู้ตรวจการค่อนข้างเห็นความสำคัญและเห็นสิ่งที่เราทำ จึงให้กุ้งหาข้อมูลเพื่อเขียนโครงการ เมื่อเช้าลองนั่งเขียนเเล้วและส่งให้พี่เกศดูก่อนเป็นเบื้องต้น ขอบคุณสำหรับข้อเสนอเเนะค่ะอาจารย์ กุ้งยังขาดรวบรวมงานที่น้องทำอยู่แล้วในโครงการเดี่ยวจะเพิ่มไปค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงสำหรับข้อชี้เเนะ
อ่านในหนังสือคลินิก ฉบับที่ 5 พ.ค. 2552 หน้า 403 การดูแลผู้ป่วยให้ตายดี เป็นภาคผนวกพินัยกรรมชีวิต (Living will) หรือหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข (advance medical directives) บุคคลมืสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ มีเอกสารตัวอย่างการทำหนังสือฉบับบนี้ค่ะ ลองติดตามดูค่ะ
ยินดีที่ได้มีส่วนร่วมครับ
สวัสดีครับคุณหมอสบายดีนะครับ
สวัสดีค่ะ