ก่อนที่ข้าพเจ้าจะย้ายที่ทำงาน ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับคุณโอมแห่งสังฆะพลัมน้อยว่า ถ้ามีโอกาสจะขอเชิญ Staff ของสังฆะพลัมน้อย ที่พอจะมีเวลา ไปนำภาวนาแบบหมู่บ้านพลัม ณ.โรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าจะย้ายไปบ้าง เพราะที่นั่นมีกลุ่มสังฆะเล็กๆ ที่สนใจการภาวนาอยู่ไม่น้อย ซึ่งโอมก็กล่าวว่า คงจะมีโอกาสในอนาคตอันใกล้นี้บ้าง
และด้วยเหตุปัจจัยบางอย่างข้าพเจ้าก็ได้พบหลวงพี่พิทยาที่เชียงใหม่ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน จึงเกิดความคิดในใจว่า ถ้าหลวงพี่ได้ไปนำภาวนาให้คงจะดีไม่น้อย จึงเรียนเชิญท่านว่า ถ้ามีโอกาสในปีหน้า ถ้าหลวงพี่ได้มาเมืองไทยอีกรอบ อยากจะเชื้อเชิญท่านไปเยือนแม่ฮ่องสอนบ้าง (ในภาษาทางเถรวาทคงจะเรียกว่านิมนต์) และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ท่านสอนและแนะนำแนวทางการภาวนาแบบหมู่บ้านพลัมให้กับกลุ่มสังฆะในโรงพยาบาลบ้าง ซึ่งหลวงพี่ก็ไม่ขัดข้อง
และด้วยเหตุปัจจัยที่เอื้ออำนวย หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้หลวงพี่มีเวลาหลังการภาวนาใหญ่ของหมู่บ้านพลัมที่เมืองไทยเป็นเวลาสองวัน และสามารถมาเยือนแม่ฮ่องสอนได้ในปีนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เมื่อข้าพเจ้าแจ้งกับเหล่ากัลยาณมิตรว่าหลวงพี่พิทยาจะมาแม่ฮ่องสอน และท่านยินดีที่จะมาสอนภาวนาเป็นเวลาสองวัน เราต่างรีบทำโครงการนำเสนอท่านผู้อำนวยการ จองห้องประชุมใหญ่ของโรงพยาบาล ติดต่อเรื่องอาหาร ทำโปสเตอร์เล็กๆ เพื่อเชื้อเชิญผู้สนใจมาเข้าร่วมภาวนา และติดไปทั่วโรงพยาบาล ส่งหนังสือไปยังกลุ่มงานต่างๆ ในโรงพยาบาลที่สนใจ นี่เป็นความเข้มแข็งของสังฆะที่นี่ และความกระตือรือร้น แถมมีความร่วมมือร่วมใจอย่างน่าทึ่ง ตอนที่พี่พยาบาลหัวหน้าตึกศัลยกรรมบอกว่ามีแผ่นโปสเตอร์เล็กๆ แนะนำเชิญชวนเรื่องงานภาวนานี้ด้วย เป็นฝีมือของลูกพี่เอง ข้าพเจ้าเห็นแล้วยังต้องยิ้ม เป็นแผ่นโปสเตอร์เล็กๆที่น่ารักทีเดียว แถมไปหารูปหลวงพี่จาก Internet มาติดในแผ่นพับด้วย ตอนนั้นเ็ป็นช่วงกลางเดือนเมษายน ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังร้อนระอุด้วยเหตุการณ์การเมือง แต่พวกเราหลายคนที่นี่กำลังวุ่นวายกับการพูดคุยกันเรื่องงานภาวนาเล็กๆ ของเราที่จะจัดในโรงพยาบาล พอเปิดทำการวันแรกหลังจากหยุดยาว พี่พยาบาลที่ทำโครงการก็รีบนำโครงการงานภาวนาเล็กๆ ของเราไปนำเสนอท่านผู้อำนวยการ และได้รับการอนุมัติทันทีในวันนั้น และเนื่องจากเวลามีน้อยเราจึงเลือกที่จะจัดในโรงพยาบาล และใช้ห้องประชุมใหญ่เป็นห้องภาวนา แถมเรียนเชิญท่านผู้อำนวยการมากล่าวเปิดและกล่าวต้อนรับหลวงพี่พิทยาเสียเลย มีอันหนึ่งที่เราหลายๆคน อยากจะเห็นก็คือการที่ท่านผู้อำนวยการมานั่งลงและเข้าร่วมงานภาวนากับเราในครั้งนี้ และเราก็ได้เห็นภาพนั้นในที่สุด
แม้ว่าหลวงพี่จะมานำภาวนาในเวลาเพียงสองวัน แต่ท่านก็มาแบ่งปันวีถีและแนวทางการภาวนาของหมู่บ้านพลัมอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่เรื่องการทำ total relaxation การกราบสัมผัสพื้นดิน การนั่งสมาฺธิ การเดินสมาธิ การรับศีล และเชื้อเชิญให้ผู้เข้าอบรมร้องเพลงหมู่บ้านพลัมกันไปหลายเพลง ในช่วงธรรมบรรยายเป็นช่วงที่หลายคนฟังอย่างตั้งใจ แถมเด็กๆ ที่มางานภาวนาหลายคนไปนั่งด้านหน้า และมีความสุขกับการฟังธรรมบรรยายของหลวงพี่มาก มีหลายตอนหลายเรื่องที่อาจจะทำให้เราถึงกับน้ำตาซึมได้ ด้วยความที่หลวงพี่มีความเป็นเถรวาทอยู่เดิมจึงสามารถเชื่อมโยงวิถีแห่งการปฎิบัติในทางเถรวาทเข้าสู่เซนมหายานให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น อีกทั้งด้วยความเบิกบานและความอ่อนโยนของหลวงพี่ทำให้หลายๆคน รู้สึกถึงความสุขสงบที่แท้จริงและหยุดวิ่งไปข้างหน้า กลับมาอยู่กับกายและใจของตนได้ง่ายขึ้น ข้าพเจ้ามองเห็นรอยยิ้มและความเบิกบานของใครหลายๆคนที่มาเข้าร่วมการภาวนาในครั้งนี้ มองเห็นความตั้งใจ และความสนใจอย่างมากมาย
ข้าพเจ้าว่าการมาของหลวงพี่ครั้งนี้ได้ช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ความเศร้าที่มีอยู่ในใจของใครหลายๆคน และช่วยให้เราทั้งหลายเข้าใจในความทุกข์ของชีวิต เข้าใจเรื่องของการยึดติดอยู่กับความทุกข์ ความเศร้า และเรียนรู้ที่จะปล่อยสิ่งที่เป็นอดีตไป แถมเรียนรู้ที่จะรู้จักเหตุแห่งทุกข์เนื่องจากการมัวแต่วิ่งไปในอนาคต แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจมากขึ้น กลับมาเป็นสุขในปัจจุบันขณะได้ง่ายขึ้น
ในช่วงถามตอบวันสุดท้ายมีหลายๆคำถามที่น่าสนใจ แถมหลวงพี่ก็มีคำตอบดีๆ ให้เราเข้าใจ และเป็นคำตอบที่โดนใจผู้ฟังคนอื่นๆด้วย ต่อคำถามหนึ่งที่มีผู้ถามว่า ถ้าจะเทียบในทางเถรวาท กับมหายาน อยากจะถามหลวงพี่ว่า เรื่องฌาน และญาน ในทางมหายานมีหรือไม่ หลวงพี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับบอกว่า พระพุทธเจ้านั้นสอนเรื่องสำคัญอยู่สองเรื่อง คือ เรื่องของทุกข์ และการดับทุกข์ เรื่องอื่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสนใจ แถมเล่าแบบขำๆว่า เคยได้ยินเรื่องเล่านี้หรือไม่ เรื่องที่สมณะผู้มีฤทธิ์เดช เหาะผ่านมายังสถานที่แห่งหนึ่ง พอดีสายตาเหลือบลงมาข้างล่างเกิดเห็นผู้หญิงแก้ผ้าอยู่ แล้วก็เกิดหล่นตุ๊บลงมาน่ะ ?
หลังจากหลวงพี่กลับไปแล้ว ในขณะที่ข้าพเจ้านั่งเงียบๆ ตามลมหายใจ ท่ามกลางอากาศร้อนๆ ของต้นเดือนพฤษภาคม เมื่อมีสายลมเย็นๆ พัดผ่านมาเบาๆ ข้าพเจ้าก็นึกได้ว่า การมาของหลวงพี่นั้น ก็เหมือนการมีสายลมแห่งความสุขและเป็นอิสระพัดผ่านมา ช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ความเศร้าของผู้คนที่นี่ให้จางคลายไป และแทนที่ด้วยความสุขสงบ ความมีอิสระ ความผ่อนคลาย เป็นความสุขง่ายๆ ที่หลายๆ คนเริ่มรู้จัก ความสุขจากการตามลมหายใจอย่างมีสติ และเรียนรู้ที่จะอยู่ตรงนี้ ที่นี่ กับใครสักคนอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม..
ความสุขและเป็นอิสระนั้นควรจะเป็นความสุขง่ายๆ และเป็นธรรมดาสามัญ..
สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีงามที่แบ่งปันค่ะ
หลวงพี่เองท่านยังชอบโปสเตอร์ที่ว่าด้วยนะเนี่ย
หวังว่่าในอนาคตอันใกล้คงมีเหตุปัจจัยให้หลวงพี่กลับมาสอนการภาวนาให้พวกเราอีก
สวัสดีค่ะ krutoi
ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาอ่าน เรื่องราวที่ blog.นี้
CC
ก็อย่างที่หลวงพี่กล่าวไว้ การมาปรากฏของหลวงพี่ที่นี่ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แถมการมาของท่าน เหมือนมาช่วยปลดชนวนอะไรบางอย่าง ที่เหลือก็คงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะสืบเนื่องการปฎิบัติ และช่วยกัน พี่เข้าใจว่าท่านจะกลับมาเยือนแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง ในสักวันหนึ่ง..
สาธุๆๆ มาอนุโมทนาบุญด้วยจ้า