บันทึกนี้ขอเขียนอะไรสั้น ๆ นะคะ เก็บตกจากตอนที่ไปเป็นวิทยากร ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ตัวเองด้วยตัวเอง
คนเรามักคุ้นเคยหรือถนัดที่จะใช้ "สมอง" "ห้วใจ" และ "สัญชาตญาณ" แตกต่างกันออกไป
ในที่นี้จะขอนำเสนอเฉพาะการทำงานของ "สมอง"
(หากท่านใดอ่านบันทึกนี้แล้ว อาจจะสังเกตไม่พบ/เห็นไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสมอง ขอให้รออ่านบันทึกหน้า จะกล่าวถึงวิธีสังเกต "ความรู้สึก" และ "การกระทำโดยสัญชาตญาณ"
กระบวนการเรียนรู้วิธีคิด
1. Observation การสังเกต
2. Reflection การสะท้อนตัวเราออกมา
3. Feedback การยอมรับการโต้กลับ
การเรียนรู้วิธีการเรียนรู้เป็นการศีกษาแบบยั่งยืน
1. Observation (สังเกตกระบวนการทำงานภายใน นั่นก็คือวิธีการคิด และการแสดงตรรกะของเรา)
ศิลาให้ความสำคัญกับการสังเกตค่ะ คำว่าสังเกตในที่นี้ หมายถึง การมีสติ สังเกตกระบวนการทำงานของสมองของเราเอง
วิธีการสังเกต กระบวนการคิด (ครั้งต่อไปจะกล่าวถึงการสังเกตการแสดงความรู้สึก)
“คิดลึก”
- เป็นระบบระเบียบ ลงรายละเอียดเนื้อหา ค้นคว้า
อ้างอิง ออกแบบความคิดคล้าย ๆ โครงสร้าง
แบบจำลอง
“คิดล่วงหน้า”
- เป็นตาข่ายครอบคลุม ครบเครื่อง เสมือนแนวปราการป้องกัน คิดไว้ล่วงหน้า หลายซับหลายซ้อน มีลักษณะคิดแบบก้าวหน้า
“คิดเชื่อมโยง”
- เป็นแบบกบกระโดด เชื่อมโยงไปมา แนวคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ไร้กรอบ ไร้กระบวนท่า แปลกใหม่ท้าทาย
ทุกคนย่อมรู้จักวิธีคิดทั้งสามแบบข้างต้นและแบบอื่น ๆ อีกมากมาย แต่โปรดสังเกตดี ๆ ว่าจะมีวิธีคิดที่เราเน้นย้ำอยู่เป็นประจำด้วยความเคยชิน…
การสังเกตวิธีคิดจะทำให้เราทบทวนตัวเองว่าเรานำวิธีคิดที่ว่านี้ไปแสวงหาข้อมูลต่อไปอย่างไร
เมื่อเราเปิดใจรับรู้สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาวิธีคิดเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราตักตวงความรู้เข้าหาตัว
2. Reflection (สะท้อนวิธีคิดของเราออกมาผ่านการเขียนและพูด)
การสะท้อนออกมา หมายถึงว่าเมื่อรู้ว่าเรามีวิธีคิดแบบไหนแล้ว ดูว่าเราสะท้อนออกมาอย่างไร หากเป็นการเขียน เราเขียนอย่างไร และหากเป็นการพูด เราพูดแบบไหน ….พูดเร็ว พูดช้า พูดย้ำ ล้วนสื่อถึงการถ่ายทอดวิธีคิดของเราออกมา
การเขียนบันทึกใน Blog ของแต่ละท่าน สะท้อนวิธีคิดต่าง ๆ ออกมา และหากหมั่นทบทวนการเขียนของเรา จะจับวิธีคิดของเราได้และจะมีประโยชน์ในการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เราจะสามารถก้าวพ้นวิธีคิดที่เราคุ้นเคยไปสู่วิธีคิดในแนวอื่น ๆ ได้อีก และเมื่อนำมาผสมผสานวิธีคิดแบบที่เราเคยชินจะได้สูตรผสมใหม่ เพื่อใช้ในการแสวงหาความรู้
3. Feedback (ขอทานความรู้หรือ Feedback จากผู้อื่น)
ผลสะท้อนกลับของกัลยาณมิตรต่อบันทึกของเราก็ดี หรือการรับฟังการพูดโต้ตอบของคนรอบข้างล้วนทำให้เราเกิดการเรียนรู้ภายในตนเอง ขอเพียงเรารับฟังอย่างตั้งใจ (อย่างเช่น การฟังตามกระบวนการ Dialogue) ก็จะช่วยให้เรานำมาปรับวิธีคิดของเราอยู่เสมอ
ยิ่งเปิดใจรับฟังการต่อยอดของผู้อื่นมากเท่าไหร่ (ช่วงนี้อ่านในหลายบันทึก ปรากฎเรื่องการเปิดใจทั้งในบันทึกของคุณดาวลูกไก่ คุณคนไม่มีราก และท่านอื่น ๆ หากมี โปรดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้ค่ะ) ก็เท่ากับว่าเรายอมรับ Feedback ของผู้อื่นที่มีต่อตัวเรา ต่อผลงานของเรา ทำให้เราพัฒนางานกระบวนการเรียนรู้ของเราให้ลุ่มลึกและกว้างไกลมากยิ่งขึ้น
---------------------------------
ขออภัย เนื่องจากมีเวลาจำกัดในการเขียนบันทึกนี้ จึงขอเขียนเพียงแค่นี้ก่อนค่ะ หากมีเวลาเพิ่มเติมจะมาปรับปรุงใหม่และเจาะลึกในแต่ละวิธีในรายละเอียดต่อไป
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณศิลา
ตามมาเรียนรู้ค่ะ
เจริญพร โยมศิลา
อาตมาขอบิณฑบาตอาหาร(ความรู้)จากบล็อกต่างๆอยู่เสมอ
ซึ่งท่านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้รู้ตัวจริงเสียงจริง
เจริญพร
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณค่ะบันทึกดีๆ
แรกๆคิดแต่ไม่รู้จะเขียนอะไร
ทำอย่างไรจะเขียนให้สื่อ...
เขียนสิ่งที่เราถนัด เราคิด เราสังเกตได้...
สวัสดีค่ะ..
คิดดีเขียนดีจังค่ะ..
มาขอทานความรู้ด้วยละค่ะ ..เพื่อการก้าวย่างสู่วิธีคิดแนวอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก จริงดังคำว่า "การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด"จริงๆนะคะ
การรับรู้ผู้อื่นแล้วสะท้อนออกมาพร้อมเปิดใจยอมรับ เป็นการเรียนรู้ตัวเองด้วยตัวเองจริงๆ
จะแวะมารับความรู้จากอาจารย์อีกนะคะ
ขอบคุณค่ะ
มาอ่านความรู้ดีๆ และ บอกว่าคิดถึงและติดตามอ่านบันทึกพี่ศิลาเสมอนะคะ
อาจารย์ครับ
ผมเคยเรื่องทำนองเดียวกันนี้ที่..เราคุยกันถึงเรื่อง "วิธีคิด"
มนุษย์เรามีอิสระและศักยภาพทางด้านความคิด ตลอดจนใช้พลังของความคิดเป็นบทเรียนเพื่อเป็นฐานการเดินทางของชีวิต ผมเชื่อว่าทุกคนมีคุณสมบัติการเป็นนักคิด และคำถามต่อไปของผมคือ ทุกคนคิดกันอย่างไร?....
ชอบบทความสาระดีดีจังเลยนะคะ ชอบขอทานความรู้ค่ะ..
สวัสดีค่ะ
อืมม..
"ขอทานความรู้" รู้สึกยังไงไม่รู้นะครับ
ผมอยากให้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันดีกว่า ต่างคนต่างให้ในมุมที่ตัวเองมี จะทำให้เวทีการเรียนรู้มีสีสันและสร้างพลังปัญญาจากผู้ปฏิบัติมากขึ้น
มุมมองของผมนะ
ขอทานความรู้ กับ ความเหลื่อมล้ำทางด้านความรู้ ดูแล้วไปด้วยกัน :)
สวัสดีค่ะคุณศิลาบันทึกนี้อ่านง่ายและมีประโยชน์ค่ะ
1. Observation การสังเกต
2. Reflection การสะท้อนตัวเราออกมา
3. Feedback การยอมรับการโต้กลับ
และเห็นด้วยที่สุดค่ะ การเรียนรู้กระบวนการคิดนี้ เป็น "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ที่ต้องสามารถหยุดได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
(^___^)
ขอทานทางความรู้ กับความเหลื่อมล้ำทางความรู้ หากแจกแจงความหมายของคำการขอทานความรู้ เพราะอยากได้ความรู้ การขอเป็นกริยา และแสดงอาการของความต้องการอย่างชัดเจน หากขอแล้วสามารถนำไปลดช่องว่างในสังคมได้ ให้สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมได้ ครูต้อยก็ขอเป็นผู้หนึ่งนะคะ แต่มีความแตกต่างจากภาพ เพราะนั่นเขาจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู๋รอดของตัวเอง แต่หากพิจารณาว่าจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องขอทานความรู้ สำหรับครูต้อยก็ไม่จำเป็นขนาดนั้นเลย นับเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่ตัดอัตตาตัวเบ้อเร้อเลยออกไปจากจิต
สำหรับการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางความรู้ หากเราไม่มีหนทางที่จะช่วย แต่มีเจตนาที่จะช่วยสังคม การขอความรู้เพื่อพัฒนาความคิดและนำไปสู่ความหมายที่ดี ย่อมมีประโยชน์ทั้งสิ้นนะคะ
ขอบคุณค่ะ อิอิ งอดนี้มาเข้มข้นดีค่ะ
ทายซิค่ะว่าทำไมตำลึง 2 ใบนี้จึงแตกต่างกันทั้งที่มาจากต้นเดียวกัน คนเลี้ยงคนเดียวกัน ในบ้านหลังเดียวกัน และจากน้ำขันเดียวกันที่รดลงไปให้งอกงามผลิใบเกิดประโยชน์ทั้ง สองแบบ แต่แตกต่างกัน 55+
การรับรู้ผู้อื่นแล้วสะท้อนออกมาพร้อมเปิดใจยอมรับ เป็นการเรียนรู้ตัวเองด้วยตัวเองจริงๆ
ที่คุณ ศน.อ้วน กล่าวมาเป็นการเรียนรู้แบบยั่งยืนจริง ๆ ค่ะ
เหมือนเวลาเราฟังเสียงสะท้อน echo หากเราตะโกนอะไรออกมา และได้ยินเสียงตอบกลับมาตรงกัน ทั้งผู้ให้ ผู้รับที่แลกเปลี่ยน ก็เท่ากับว่าเราสื่อกันสัมฤทธิ์ผล ...แต่ในความเป็นจริงที่อาจเป็นไปไม่ได้ ก็เพราะต่างฝ่ายต่างปรุงรสกัน ซึ่งคงเลี่ยงไม่ได้ค่ะ เพียงแต่อยากนำเสนอให้ลดเครื่องปรุงรสลง ยิ่งลดเท่าไหร่โดยสังเกตและรับมาก่อนทั้งหมด จะดีไม่น้อย จากนั้นค่อยทบทวน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ขอรับความรู้เต็ม ๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาทักทายรอบดึก
แวะมาส่งของแก้ง่วง
ตัวเอง คงชอบทั้ง 3 วิธีคิดน่ะค่ะ แต่น่าจะหนักไปที่ คิดล่วงหน้า มากที่สุด คือ เป็นคนชอบทำแผนน่ะค่ะ และถ้าไม่เป็นไปตามแผน จะรู้สึกไม่ดีหน่อย ทุกคนที่ใกล้ชิดจะทราบ คือ ชอบให้มีการเตรียมการ คงจะชอบ ปลอดภัยและรอบคอบ ไว้ก่อนมั้๊งคะ
สวัสดีค่ะ
มาหลายรอบ มารอบนี้พร้อมดอกไม้สวยๆนะคะ
ขอขอบคุณที่ได้ เสนอความคิดดีๆนี้ให้
ขอรับความรู้นี้ไว้ด้วยความเต็มใจ
ขอทานความรู้เป็นอีกคำหนึ่งที่เราคิดกันเอง
ว่าเหมาะสมกับตัวเราหรือไม่
ผู้ที่นิยมกับถ้อยคำ มักติดใจในถ้อยคำ
ผู้นิยมในความหมายมักติดตรึงใจในสาระ
เฉกเช่น ใบตำลึงที่แม้รูปลักษณ์ต่างกัน
คุณสมบัติในตนเอง ย่อมหลีกหนี ความเป็นตำลึงไปไม่ได้
ผู้ที่สนใจในรูปลักษณ์ย่อมต้องกำหนด
ความเป็นตำลึงในรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย
ผู้ที่สนใจในความเป็นตำลึง
จะมองผ่านเข้าหาแก่นแท้ของความเป็นตำลึงในนั้น
ความรู้ก็ใกล้เคียงกัน
การที่เดิมไม่มีความรู้ หรือมีเล็กน้อย
และมีผู้ที่มาให้ความรู้แก่เราเพิ่มเติม
เมื่อได้รับมาแล้วจะเรียกว่า
ขอทานความรู้ หรือ แลกเปลี่ยนความรู้
หรือ ขอรับความรู้
ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้นั้นด้อยค่าลงแต่ประการใด
สุดท้ายจะอยู่ที่ผู้รับความรู้
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เท่าทันกับโลกและปัจจุบันตนหรือไม่
เพราะในฝ่ายผู้ให้ความรู้ก็ได้สำเร็จผล
ในส่วนจิตเมตตาของผู้ให้นั้นแล้ว