ผมเองรู้สึกฉงนเรื่อยมา ว่าทำไมคนที่มีความรู้ในแต่ละละแวกบ้าน ไม่รวมตัวกันเข้าไปช่วยปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนที่โรงรียน เพื่อให้ลูกหลานของตนได้เข้าโรงเรียนดีที่อยู่ใกล้บ้าน เด็กจะมีคุณภาพชีวิตดีกว่าที่เป็นอยู่อย่างมากมาย
ความฉงนของผมคงจะเป็นความคิดโง่ๆ หากวัฒนธรรมของพ่อแม่คือยกความรับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ให้โรงเรียน พ่อแม่ไม่เกี่ยว และโรงเรียนก็ไม่เปิดประตูรับพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นกำลังในการพัฒนาโรงเรียน เพราะมีวัฒนธรรมปิด ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่ง เพราะไม่มีความรู้ที่จะสอนเด็ก
การปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ ๒ ต้องปฏิรูปเชิงระบบ ปฏิรูปวัฒนธรรมของระบบ ลักษณะที่พึงประสงค์ของระบบอย่างหนึ่งคือเป็นระบบเปิด เปิดอย่างไรให้เกิดการเพิ่มคุณค่าของ stakeholder ต่างๆ เป็นเรื่องที่จะต้องปรึกษาหารือกัน
1. พ่อแม่ยกหน้าที่ให้โรงเรียนมากไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานบ้านที่ควรฝึกที่บ้าน ความรับผิดชอบหรืออื่นๆ ฉะนั้นครูจึงมีหน้าที่หนักเหลือเกิน
2. สำหรับนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เก่งมากๆ พ่อแม่ก็จะเอาใจใส่จนเกินควร ทั้งส่งเสริมให้เรียนพิเศษ และเฝ้าติดตามการทำงานของครูอยู่อย่างใกล้ชิด และที่สำคัญคอยตรวจสอบมากกว่าจะสนับสนุน เดี๋ยวนี้โรงเรียนต้องตามใจ stakeholder มากไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ถูกใจ
3. รัฐควรมีนโยบายพัฒนาคุณภาพของคนตั้งแต่ครอบครัว รณรงค์หรือกำหนดภาระหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะต้องฝึกเด้กในเรื่องใดบ้างให้ได้ผลเป็นรูปธรรมและโรงเรียนก็สอดรับพัฒนาต่อ ก็จะได้ผลดีทั้งเด็ก ครอบครัวและสังคม
4. การปฏิรูปทุกครั้งก็เห็น ปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปสังคมบ้างน่าจะดี สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการฉุดดึงให้นักเรียนทำความดี สังคมไม่ค่อยเมตตาเด็กเท่าที่ควรจะเป็น
คิดว่าสังคมไม่พร้อมที่จะเข้ามาพัฒนาการศึกษามากกว่า เพราะภาระกิจที่รัดตัวไม่ใช่โรงเรียนเป็นระบบปิด
รับฟังความคิดเห็นครับ :)
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับอาจารย์
เป็นความจริงอย่างที่อาจารย์กล่าวทุกประการเลยครับ ผมเองเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาโรงเรียนประถมเล็กๆไกล้บ้าน ที่มีนักเรียนไม่ถึง 100 คน เพราะผู้ปกครองเด็ก ในหมู่บ้าน จะนำลูกหลานไปเรียนโรงเรียนอื่นที่เขามีความรู้สึกว่ามีศักยภาพในด้านการเรียนการสอนดีกว่า ได้นั่งคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อยๆ และให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาที่ควรจะมีความหลากหลายด้านการเรียนรู้ของเด็ก โดยเอาชุมชนเป็นที่ตั้ง และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่เป็นต้นแบบ โดยให้ครูเป็นนักประสาน และเป็นผู้คอยเกลี่ยความรู้ให้อยู่ในช่องทาง แล้วทุกคนในชุมชนจะมีความสำนึกรักการศึกษา รัก ครู รักโรงเรียนไกล้บ้าน เราได้แต่พูดคุยกัน แต่การปฏิบัติมันเกิดได้ยาก เพราะตัวแปรที่จะทำให้เกิดขึ้นได้คือ ผู้นำท้องถิ่นต้องมีความเข้าใจจริง และในส่วนของผู้อำนวยการเองเมื่อผมมองเห็นแววตาที่เหนื่อยหน่ายเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ก็รู้ได้ทันทีว่าส่วนตัวท่านนั้นเข้าใจ แต่การที่จะทำมันยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะการพูดเพื่อทำความเข้าใจ ให้ผู้นำชุมชน ให้ผู้ปกครองเด็ก หรือแม้แต่คณะครูในโรงเรียนมีทัศนคติที่ดีกับการเรียนรู้แบบเปิดกว้าง ดังที่อาจารย์กล่าว ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความคิดของคนส่วนใหญ่ กำลังล่องลอยอยู่ในกระแส
ก็ต้องช่วยกันมอง ช่วยกันส่งเสริม แก่ชุมชนและโรงเรียนที่ทำได้ และได้ทำในสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว นำมาเป็นต้นแบบ เป็นมุมมองให้แก่ผู้คนได้มากขึ้น
ส่วนการสร้างกระแสเพื่อปรับความคิดผู้คน ให้หันกลับมาทำความเข้าใจการเรียนรู้ระบบเปิดดังที่อาจารย์กล่าว จะเป็นไปได้อย่างดี ถ้าหากสถาบันที่เป็นที่เชื่อถือเป็นที่รู้จัก อยู่ในหัวใจของคนทั่วไป มีการส่งเสริม ให้เกิดการคิดค้นวิธีการ จัดกระบวนการศึกษาในชุมชน เพื่อสร้างศักยภาพคนให้โตขึ้นบนฐานความรู้ที่รัก ทรัพยากร รักท้องถิ่น
และเน้นให้เป็นฐานหลักเป็นฐานรากของการพัฒนาชีวิตตามวิถีไทย โดยมีการกำหนดให้ เด็กที่ผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบสหวิทยาการชุมชน สามารถนำไปใช้เป็นคะแนนพื้นฐานประจำตัวผู้เรียน ประกอบการ ศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ทิศทางของกระแสความคิดน่าจะเปลี่ยนทิศทางได้