นานนักแล้วที่เราไม่ค่อยได้เดินทางด้วยรถโดยสารระหว่างทาง ที่พูดเช่นนี้เพราะเรามักจะมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เช่นเราจะเดินทางจากสุรินทร์ ไปกรุงเทพ เราก็จะตีตั๋วรถไฟ หรือรถทัวร์ที่มีจุดสิ้นสุดที่นั่นเลย ไม่ต้องไปต่อรถที่ไหนอีก และเรามักจะเลือกรถที่ด่วนถึงที่ หรือไม่ก็นั่งหรือนอนชั้นที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใครมาก เรามักจะหมกตัวเองในผ้าห่มของรถไฟ หรือไม่ก็หลับในรถทัวร์ หากจะต้องเดินทางแล้วรถจอดไปเรื่อยๆจิตใจเรามักจะหงุดหงิด เพราะใจเราอยากไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว และมักจะโกรธเสมอ หากตัวเองขึ้นรถผิด แทนที่จะขึ้น ปอ. 1 เพื่อไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว กลับไปขึ้น ปอ.2 หรือรถหวานเย็นโดยไม่รู้ตัว เพราะพนักงานไล่ต้อนให้ไปขึ้น
แต่วันนี้ หลังจากไปส่งลูกสาวที่ค่ายเพชรรัตน์ สระบุรี ด้วยรถโดยสาร แม้เป็น ปอ. 2 ก็ไม่ยอมจอดอ้างว่าทางช่วงนั้นเป็นถนนมุมโค้ง เราเลยต้องลงที่หน้าฟาร์มโคนม อสค. เพื่อหารถต่อไป หาไม่ได้สักที จะรอรถอีกคันมาก็จะไม่ทันกำหนดเวลาที่ต้องไปส่งลูกสาวเข้าค่าย ตัดสินใจนั่งรถมอเตอร์ไซด์ซ้อนท้ายเข้าไปอีก 2 คน นึกในใจว่าถ้าไม่มีมอเตอร์ไซด์จะทำอย่างไร
ขากลับ หารถออกจากค่ายไม่ได้ อาศัยรถของคนใจดี ที่ไปส่งลูกเข้าค่ายด้วยกันกลับออกมา ต่อรถที่ทางเข้ามวกเหล็ก นั่งรอ และรอ เห็นรถปอ. 1 วิ่งมา โบกมือเขาไม่จอดรับ รอไปอีก รอและรอ เรานึกในใจเห็นคุณค่าของรถโดยสารขึ้นมาทันที รถโดยสารไม่ว่าจะเป็น ปอ.2 หรือจะเป็นรถหวานเย็นที่เราใช้บริการมีคุณค่าสำหรับผู้เดินทาง "ระหว่างทาง"นี่เอง เราเองนึกเห็นใจคนโดยสารระหว่างทาง หากไม่มีรถที่ให้บริการจอดเป็นระยะๆจะทำอย่างไร
นึกถึงชีวิตคนเรา บางทีเราก็มุ่งไปที่เป้าหมาย และจุดหมายปลายทางที่เราต้องการอยากมี อยากเป็นมากจนเกินไป จนทำให้เราไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กๆระหว่างเดินทาง ไม่ได้ชื่นชมกับความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้น ที่จะสะสมให้เรามีพลังและรู้จักชีวิตมากขึ้น สุดท้ายเมื่อเราพยายามไปถึงจุดหมายปลายทาง เราอาจพบว่าไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การชื่นชมเลยก็ได้
การเดินทางครั้งนี้ นึกขอบคุณ รถเดินทางหวานเย็นที่ช่วยส่งฉันกลับบ้านอย่างสุขใจ และได้คิดอะไรดีดี
ไม่มีความเห็น