ผมเชื่อว่าการเล่านิทานก่อนนอนนั้น ถือเป็นกระบวนการอันสำคัญของการสร้างทักษะการเรียนรู้ หรือสร้างทักษะของการ "แสวงหาความรู้" ให้กับเด็กๆ
ถ้อยแถลงก่อนอ่าน :
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวขนาดสั้นเหมือนทุกครั้ง โปรดใช้ความอดทนต่อการอ่าน นะครับ – ขออภัย และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยได้สัมผัสชีวิตในเทศกาลสงกรานต์แบบหนุ่มๆ สาวๆ ทุกวันนี้เท่าใดนัก โดยเฉพาะในเรื่องของการเที่ยวเล่นไปยังหมู่บ้านและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยรถจักรยานยนต์ หรือรถกระบะ
ถ้าจำไม่ผิด ผมเองก็ไม่เคยได้ทำเช่นนั้นจริงๆ
ฟังดูเหมือนผมเป็นคนขาดโอกาสอยู่ไม่ใช่ย่อย
ตรงกันข้าม ผมกลับไม่เคยรู้สึกว่ามันคือปมด้อยของชีวิต และส่วนที่ขาดหายไปนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของผมตกหล่นไปจากขบวนวัฒนธรรมของชีวิตเลยแม้แต่น้อย
มุมแห่งความสุขใต้ต้นขี้เหล็กหน้าบ้านที่ผมใช้เป็นที่พักผ่อนและเฝ้าสังเกตการเล่นน้ำของลูกๆ
ถึงแม้ในช่วงสงกรานต์จะเป็นช่วงปิดเทอม แต่ผมก็ยังต้องทำหน้าที่เลี้ยงวัวอยู่กลางทุ่งแทบทุกวัน โดยหน้าที่ดังกล่าว เป็นการรับช่วงจากพี่ชายและพี่สาวที่ไม่ได้เรียนหนังสือ
พอปิดเทอม ผมจึงต้องรับหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย
เป็นการคืนกำไรให้พี่ๆ ได้หันเหไปใช้ชีวิตในแง่มุมอื่นๆ บ้าง ซึ่งบางครั้งพี่ๆ ก็ถือโอกาสไปเที่ยวเล่นสาดน้ำในแบบวัยรุ่นๆ ที่นิยมเฉกเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
บางทีพี่ๆ ก็นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ไปเล่นน้ำและจีบสาวในหมู่บ้านต่างๆ
บางทีก็นั่งเบียดเสียดกันบนรถกระบะเพื่อแล่นลิ่วไปสาดน้ำในสถานที่อันคึกคักไปด้วยผู้คน
เช่นเดียวกับบางครั้ง ก็พากันไปเที่ยวเล่นในหมู่บ้านที่มีมหรสพ กว่าจะกลับเข้าบ้านได้ บางครั้งก็มืดค่ำ หรือไม่ก็ดึกดื่นเที่ยงคืน
จวนฟ้าสาง ก็บ่อยไป
ซุ้มน้ำอีกห้องเรียนที่สร้างมาให้ลูกๆ ได้เรียนรู้แทนการตระเวนไปกับรถกระบะอันสุ่มเสี่ยง
โดยคุณแดนไท เฝ้ากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
แต่สำหรับการรับรู้ของผมนั้น ผมยอมรับว่าการเที่ยวเล่นเช่นนั้น ดูสนุกก็จริง แต่หลายต่อหลายครั้ง กลับต้องหวาดหวั่นกับข่าวคราวของอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงการทะเลาะวิวาทอย่างบ้าคลั่ง บางรายหัวโนปูดโปน
แต่บางครั้ง กลับต้องเลือดตกยางออก
บางรายถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยก็มี
และยิ่งหมู่บ้านผม เป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับเขื่อนลำปาว ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ในแต่ละปี ผู้คนต่างขนกันมาเล่นน้ำราวกับจำนวนคนที่ก่อม็อบในเมืองใหญ่ๆ
ในทุกๆ ปี ก็มักจะมีคนจมน้ำตายอยู่เนืองๆ ทั้งมาจากการเมาสุรา และจากสาเหตุอื่นๆ อีกมากมายที่วนเวียนกลับมาซ้ำรอยเดิมในแต่ละปี
เช่นเดียวกับสถานที่ใดที่มีงานบันเทิงมากๆ ผู้คนก็จะแห่แหนไปร่วมงานแบบไม่ต้องรอรับบัตรเชิญ
แต่ละคนจะวาดลวดลายสนุกกันสุดเหวี่ยง เมาบ้างไม่เมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่วายลงเอยด้วยข่าวคราวของการสูญเสียอยู่วันยังค่ำ นั่นคือ การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุทางท้องถนน หรือไม่ก็เกิดจากการลงไม้ลงมือตบตีกัน
จนผู้หลักผู้ใหญ่ออกอาการเอือมระอาเหลืออด และพร้อมใจกันเรียกติดปากแบบชาชินว่า นั่นคืออาการ “กัดกัน” ของวัยรุ่นไทย
เรียกได้ว่า มีงานที่ไหน มีอันต้องเก็บกวาดเศษขวดเศษไม้ รวมถึงการชะล้างคราบเลือดที่ประทับลงพื้นอย่างเศร้าสลด
นั่นคือ เรื่องร้ายๆ ที่เบียดเข้ามาฝังร่างเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของผมที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลแห่งการเล่นน้ำในอดีตที่ชนบทบ้านเกิด
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยได้ท่องเล่น หรือใช้ชีวิตในแง่มุมเช่นนั้นเลย แต่ผมก็มีความสุขกับวิถีสงกรานต์ในแบบพื้นถิ่นของตัวเองเป็นที่สุด
โดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ ก่อนห้าโมงเย็นนั้น ผมจะต้องรีบต้อนวัวเข้าคอก จากนั้นก็ตรงดิ่งเข้าวัด โดยมีจุดหมายอันสำคัญคือการไปอาบน้ำหอมที่ชาวบ้านสรงพระและไหลลอดลงมาตามพื้นศาลาวัด
เสร็จจากนั้นก็กลับเข้าบ้านแบบอิ่มสุข อาบน้ำชำระร่างกายอีกรอบ ก่อนเตรียมตัวทานข้าวร่วมวงกับคนในครอบครัวอย่างรื่นรมย์
หรือไม่ก็โชคดีหน่อย เมื่อพี่เขยอาสารับช่วงเลี้ยงวัวแทน ส่งผลให้ผมพลอยได้รับอานิสงส์ไปเล่นสาดน้ำกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน โดยยึดเอาหน้าบ้านของใครคนใดคนหนึ่งเป็นฐานทัพอย่างสนุก
และความสนุกที่ว่านั้น ก็หมายรวมถึงความสุขของชีวิต-สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ
สุขแบบไม่ซับซ้อน สุขแบบไม่ต้องซื้อขายกันด้วยเงินตรา หรือสิ่งของใดๆ
และสุขแบบเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
เป็นที่รู้กันว่า สงกรานต์ของทุกปี บริเวณนี้คือจุดนัดพบของนักฝันรุ่นเยาว์ของหมู่บ้าน
เช่นเดียวกับปีนี้ ผมเองก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะสอนให้ลูกๆ ได้เห็นถึงวิถีสงกรานต์ในแบบเดิมๆ ของชาวบ้าน โดยเบื้องต้นเราต่างพูดคุยถึงการนั่งรถไปยังที่ต่างๆ ว่าเป็นความเสี่ยงของอุบัติเหตุ และเสี่ยงต่อการพลัดพรากในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสองหนุ่มสองมุมก็รับหลักการนั้นโดยไม่อิดออด
ดังนั้น ทั้งผมและเพื่อนชีวิต ตลอดจนปู่และย่า จึงต้องลงแรงสร้างซุ้มน้ำขึ้นมาเป็นฐานทัพให้ลูกๆ ได้เล่นน้ำตามแบบที่ควรจะต้องไป แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะอธิบายให้รู้ว่า ซุ้มนี้ไม่เพียงมีไว้เพื่อเล่นสาดน้ำเท่านั้น
หากแต่หมายถึงการเป็นที่รองรับผู้มาเยือนในวิถีต่างๆ ทั้งจากขบวนแห่พระฯ ของชาวบ้าน ซึ่งเมื่อขบวนแห่เดินทางมาถึง ก็ให้ลูกๆ สรงน้ำพระที่ประดิษฐานอยู่บนรถ พร้อมๆ กับการขอสรงน้ำพระสงฆ์และผู้หลักผู้ใหญ่
รวมถึงการเชื้อเชิญและส่งน้ำเย็นๆ ให้แต่ละคนได้ดื่มได้กินอย่างเป็นกันเอง
อีกทั้ง เมื่อมีแขกต่างบ้านแวะเวียนมาขอน้ำ ก็ไม่ลืมที่จะแบ่งน้ำให้กับเขาไป เพื่อให้ผู้สัญจรทางเหล่านั้น มีน้ำใช้เล่นสงกรานต์ตามเส้นทางกันต่อๆ ไป
ครับ-ฟังดูเป็นการไม่ประหยัดน้ำเอาเสียเลย แต่ผมก็พยายามอยู่ไม่น้อยกับการดูแลและควบคุมการใช้น้ำในแต่ละห้วงเวลา ไม่ใช่เปิดทิ้งเปิดขว้าง และให้เด็กๆ สาดทิ้งสาดขว้างแบบไม่บันยะบันยังในโอกาสเดียวกันนี้ ทั้งผมและคุณแดนไทก็ไม่ลืมที่จะจัดหาข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยมาเลี้ยงเด็กๆ
เรียกได้ว่าแจกจ่ายให้เพื่อนร่วมก๊วนของลูกๆ ได้สนุกแบบไม่หิวกระหาย เป็นการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “กองทัพเดินด้วยท้อง”
ครับ - ผมว่าวิธีเช่นนี้ดูเหนื่อยไปหน่อย เหนื่อยต่อการจัดหาเสบียงมาจุนเจือเด็กๆ หรือไม่ก็เหนื่อยต่อการเฝ้าระวังความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กๆ แบบคาดไม่ถึง แต่ก็ถือว่ายังดีกว่า การนำพาให้ลูกๆ ออกตระเวนเที่ยวไปในที่ต่างๆ ซึ่งนั่นอาจต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ
บางทีถ้าเป็นเช่นนั้นจริง โตขึ้นคงต้องอธิบายอีกมาก ให้เขาเข้าใจว่า “ควรต้องเล่นสงกรานต์” แบบใดดี
ถึงแม้กระบวนการของวันนี้ จะไม่ใช่การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียทั้งหมด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และดีกว่าการปล่อยให้ลูกๆ ติดสอยห้อยท้ายไปกับญาติๆ ทั้งในวิถีของรถกระบะ และรถจักรยานยนต์ ที่ดูยังไงก็อันตรายอยู่ดี
ถัดจากนั้น เมื่อการเล่นสาดน้ำบนวิถีถนนหน้าบ้านได้สิ้นสุดลง ทั้งผมและลูกๆ ก็ไม่ลืมที่จะมาเสวนากันแบบขำๆ ว่าวันนี้สนุกแค่ไหน เห็นอะไรบ้าง มีใครแบ่งขนมให้เพื่อนๆ บ้างหรือเปล่า
มีใครพูดเพราะ-พูดไม่เพราะ บ้าง
หรือแม้แต่ มีใครได้รดน้ำผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผ่านไปมาระหว่างเส้นทางนั้นๆ บ้าง
และใครคือผู้ที่สามารถรดน้ำผู้หลักผู้ใหญ่ได้มากที่สุด
เสร็จแล้วก็ชมเชยกันแบบตามมีตามเกิด ไม่มีของรางวัลใดๆ จะมีก็แต่คำชมขำๆ เชยๆ ที่กลั่นออกจากก้นบึ้งหัวใจของผมเอง
และที่สำคัญที่สุดที่ผมไม่อาจละเลยไปได้ นั่นก็คือ การปิดท้ายการเรียนรู้ของลูกๆ ด้วยการเล่าตำนานสงกรานต์ให้ลูกๆ ได้ฟัง เป็นต้นว่า เรื่องของกุมารธรรมบาลกับท้าวกบิลพรหม ผูกโยงไปถึงการตำนานการปล่อยปลาตามวิถีพุทธ อันมีพระสารีบุตรและสามเณรเป็นตัวเดินเรื่อง
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าการเล่านิทานก่อนนอนนั้น ถือเป็นกระบวนการอันสำคัญของการสร้างทักษะการเรียนรู้ หรือสร้างทักษะของการ "แสวงหาความรู้" ให้กับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อทุกครั้งกิจกรรมต่างๆ ยุติลง ผมก็มักหยิบเอาเรื่องที่เกี่ยวข้องมาขยายผลเป็นนิทานก่อนนอนเสมอ
เพราะเชื่อว่า
- การเล่านิทาน คือกลไกอันสำคัญที่เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนเล่ากับคนฟัง
- การเล่านิทาน จะช่วยให้เด็กๆ เกิดความผ่อนคลาย หลับง่าย และหลับแบบสุขสงบ เพราะคลื่นสมองจะต่ำลง
- การเล่านิทาน จะช่วยให้เด็กๆ ได้รับความรู้ไปในตัว และเป็นการปลูกฝังสิ่งอันดีงามลงสู่จิตใต้สำนึกของเด็กๆ
บริเวณสวนครัวเล็กๆ ใกล้ๆ กับต้นขี้เหล็กที่เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น เป็นอีกห้องเรียนหนึ่งของการเล่นน้ำ
ไม่แต่เฉพาะเท่านั้น ผมยังหยิบยกเอาตำนานสงกรานต์ของชาว "สิบสองปันนา" มาเล่าแถมท้ายให้อีกเรื่อง โดยเรื่องนั้นกล่าวไว้ว่า ..
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์ตนหนึ่งชอบบังคับให้ชาวบ้านส่งลูกสาวไปปรนนิบัติพัดวีตัวเองในทุกๆ ปี จนกระทั่งถึงคราวที่หญิงสาวคนหนึ่งต้องถูกส่งไปแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่นางก็ไม่เกรงกลัวต่อยักษ์ตนนั้นเลย ตรงกันข้ามกลับเฝ้าปรนนิบัติยักษ์เป็นอย่างดียิ่ง
ซึ่งวันหนึ่ง นางได้วางอุบายโดยการมอมเหล้ายักษ์ตนนั้น เมื่อยักษ์เริ่มออกอาการเมา นางจึงเอ่ยถามว่า ความอมตะของยักษ์จะถูกทำลายลงได้อย่างไร
และด้วยความที่ยักษ์อยู่ในอาการเมา-ยักษ์จึงเผลอตัวบอกความลับไปว่า หากจะฆ่ายักษ์ให้ตาย ก็ต้องนำเส้นผมเส้นเดียวบนหัวของยักษ์นั่นแหละมาพันรอบคอของยักษ์
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทันทีที่ยักษ์หลับสนิท นางก็ดึงเอาเส้นผมของยักษ์มาพันรอบคอ จนในที่สุดคอของยักษ์ก็ขาดกระเด็นออกจากร่าง เลือดที่ไหลนองลงสู่พื้น กลับกลายเป็นเพลิงไฟลุกไหม้ไปทั่ว ทำให้นางต้องจับศีรษะของยักษ์ชูขึ้น ไฟเหล่านั้นถึงหยุดลุกไหม้
แต่เลือดที่ไหลออกมานั้น กลับกระเด็นไปเปื้อนตัวของนางแบบเต็มๆ ถึงขั้นว่า “ดูไม่ออก บอกไม่ถูกว่าเป็นนางหรือเปล่า” ดังนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันใช้น้ำมาล้างตัวของนางจนสะอาดสะอ้าน และกลับมาสวยสง่าดังเดิม
นั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานสงกรานต์แห่งสิบสองปันนาของชาวไทลื้อที่ผมเคยได้ศึกษาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งก็โชคดีมากที่ได้นำมาเป็นอีกบทเรียนหนึ่งให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ในวันนี้ ผ่านกลวิธีการเล่าด้วยภาษาอีสาน ผสมปนเปกับภาษากลาง เน้นให้พวกเขาสนุกขบขันกับเรื่องที่เล่าเป็นหลักสำคัญ
ครับ นั่นคืออีกกระบวนการหนึ่งของการสอนพิเศษให้กับลูกๆ ที่บ้านเกิดในชนบทของผมเอง
เพียงแต่คราวนี้ หาใช่วิชาที่ว่าด้วย “ท้องไร่ท้องนา” เหมือนทุกครั้ง
แต่มันคือ วิชาที่ว่าด้วย “สงกรานต์” ตามวิถีที่ผมคุ้นชินเท่านั้นเอง
.....
http://gotoknow.org/blog/pandin/90642
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ (1)
http://gotoknow.org/blog/pandin/90724
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ (2)
http://gotoknow.org/blog/pandin/90827
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ.. ค่ำคืนที่พ่อทำแผลให้กับผม (3)
http://gotoknow.org/blog/pandin/91039
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ ..เมื่อเจ้าแดนไทอยากเดินตามก้นพ่อเหมือนเป็ดที่เดินตามก้นเรียงกันเป็นแถว (4)
http://gotoknow.org/blog/pandin/91052
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ ..เมื่อแดนไทบอกว่าจะกลับมาอีก (5)
http://gotoknow.org/blog/pandin/91292
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ ..เมื่อผมและคนที่รักกินข้าวฮวมพา - กินปลาฮวมปิ้ง (6)
http://gotoknow.org/blog/pandin/91876
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ.. ภาพชีวิตเล็ก ๆ ในครอบครัวกลางถนน (7)
http://gotoknow.org/blog/pandin/92545
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ..เปลือยท่อนบน..สวนเสเฮฮาในสวนน้ำ (8)
http://gotoknow.org/blog/pandin/92963
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ ..ซาลาเปาของฝากจากหลานแดนที่ไปไม่ถึง "พ่อปู่" (9)
http://gotoknow.org/blog/pandin/92978
สงกรานต์ : 1,100 กิโลเมตร .. บันทึกการเดินทางของชีวิตในเทศกาลน้ำ...สิ่งที่ลูกชายคนหนึ่งพึงกระทำด้วยหัวใจ (จบ)