สงกรานต์ปีนี้ เป็นปีที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดยาวนานเป็นพิเศษ ได้สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งสงกรานต์เดิมๆ จากคืนวันที่ก้าวข้ามมา และกลิ่นอายใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างใกล้ชิด
จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าวันและคืนจะหมุนเคลื่อนไปกี่ปีก็ตาม ผมก็ยังตระหนักเสมอมาว่า
“สงกรานต์”
คือ “วันขึ้นปีใหม่ไทย” และเป็นช่วงสำคัญของการที่คนในครอบครัวจะได้ทำกิจกรรมทางครอบครัวร่วมกันอย่างอบอุ่น
อันได้แก่ การทำความสะอาดบ้าน ทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา บังสุกุล ก่อพระทราย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว-ขอขมาผู้ใหญ่ รวมถึงการขนน้ำใส่ตุ่มให้กับผู้เฒ่าผู้แก่ที่เราเคารพรัก
และนั่นยังไม่รวมถึงวิถีชีวิตในแบบอีสานๆ เป็นต้นว่า การเล่นพนันขันต่อโดยไม่ต้องเสียภาษีอากรใดๆ การละเล่นพื้นบ้าน อาทิ สะบ้า มอญซ่อนผ้า หรือแม้แต่ การปักหลักสาดน้ำอยู่ริมถนนหน้าบ้านของตัวเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็สนุกไม่แพ้การนั่งเบียดเสียดอยู่บนรถยนต์แบบสุ่มเสี่ยง และตะลอนๆ เล่นสาดน้ำในที่ต่างๆ เหมือนที่พบเจออย่างล้นหลามในทุกวันนี้
พ่อและเพื่อนบ้านช่วยกันทำซุ้มเล่นน้ำหน้าบ้านให้เด็กๆ ...
แต่สำหรับวันนี้ ต้องยอมรับว่าวันสงกรานต์ที่บ้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร กิจกรรมหลายๆ อย่างเลือนหายไปแบบไม่รู้ตัว
วิถีทางใจที่เคยปฏิบัติอย่างเข้มข้น ก็ถูกแทนที่ด้วยกระบวนการใหม่ๆ ที่ชูหราด้วยมหกรรมแห่งการบันเทิงเริงใจด้วยสายน้ำเป็นหลักสำคัญ
ซึ่งหลายแห่งถึงขั้นปิดถนนเล่นสาดน้ำกันตั้งแต่เช้าตรู่จนดึกดื่นก็มีให้เห็นอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ
อีกทั้งในถนนนั้น ก็หลายหลากไปด้วยเครื่องเสียงและการแสดงมากมาย
รวมถึงชุดแต่งกายหลากแฟชั่น ที่มองยังไงก็อดสะท้อนใจไม่ได้อยู่วันยังค่ำ
เช่นเดียวกันนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าผู้คนในชุมชนของผม โดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวนั้นยังคงจดจำได้หรือไม่ว่า วันสงกรานต์คือวันขึ้นปีใหม่ของไทย หาใช่เทศกาลของการ “สาดน้ำ” คลายร้อนเพียงอย่างเดียว
แต่ถึงกระนั้น ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ในเทศกาลสงกรานต์นั้น กลายเป็นห้วงเวลาอันสำคัญของผู้คนที่พลัดบ้านไปทำงานยังต่างจังหวัดจะคืนกลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง
บางคนกลับมาแบบธรรมดาๆ หากแต่บางกลุ่มคนก็กลับมาพร้อมๆ กับ
“ผ้าป่า” ที่ได้ลงแรงระดมทุนเข้าสู่วัดวาอารามประจำหมู่บ้านของตัวเอง
บางคนก็พาว่าที่ลูกสะใภ้และลูกเขยมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
หรือโชคร้ายหน่อย บางคนก็กลับมาเยียวยาจิตใจ หลังเจอถูกโรงงานปลดโละตามพิษเศรษฐกิจ
สำหรับผมแล้ว ผมมีความทรงจำอันงดงามเกี่ยวกับสงกรานต์เสมอ เป็นต้นว่า ฉากชีวิตหลังพระฉันภัตตาหารเช้า โดยพ่อจะนำพาชาวบ้านสรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ในวัด จากนั้นก็ทำการสรงน้ำให้กับผู้เฒ่าผู้แก่บนศาลาการเปรียญไปพร้อมๆ กัน
ตกเย็นก็มีขวนแห่พระพุทธรูปและพระสงฆ์สามเณรจากท้ายหมู่บ้านเข้าสู่ตัวบ้านอย่างช้าๆ เพื่อให้ชาวบ้านได้ออกมาร่วมสรงน้ำกันอย่างถ้วนทั่ว
ซึ่งในขบวนแห่ดังกล่าวก็จะครึกครื้นไปด้วยเสียงเพลงเสียงดนตรี มีการฟ้อนรำและสาดน้ำกันไปตามรายทาง
ผมชื่นชอบห้วงบรรยากาศเช่นนั้นเป็นอย่างมาก บางปีพาตัวเองเข้าไปอยู่ในขบวนแห่นั้นด้วย หากแต่บางปีก็ปักหลักรออยู่หน้าบ้าน เมื่อขบวนแห่เดินทางมาถึง ก็จะใช้น้ำหอมที่ตระเตรียมไว้สรงน้ำพระ รวมถึงสาดน้ำใส่ผู้คนที่อยู่ในขบวนแห่
และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การจัดเตรียมน้ำเย็นๆ ใส่กระติ๊กตั้งไว้บนเก้าอี้ หรือไม่ก็วางไว้บนเสื่อ
เพื่อให้ผู้คนที่สัญจรมากับขบวนได้ดื่มได้กินให้ชุ่มใจ
เสร็จจากนั้น ผมก็จะแทรกตัวเข้าไปร่วมในตัวขบวนแห่ พอถึงวัดก็เข้าร่วมพิธีการสรงน้ำพระพุทธรูปกันอีกรอบ แต่ที่ชอบมากที่สุดก็คือการที่ผมและเพื่อนๆ จะมาออกันอยู่ใต้ศาลาวัด เพื่อรออาบจากน้ำหอมที่ชาวบ้านนำมาสรงพระ ซึ่งไหลลอดผ่านแผ่นพื้นศาลาวัดลงมาอย่างไม่ขาดสาย
อารมณ์นั้นหลักๆ คือความสนุกสนานในวัยเด็ก
แต่ก็โกหกตัวเองไม่ได้เช่นกัน เพราะลึกๆ ก็เชื่อว่า นั่นคือการอาบน้ำมนต์น้ำทิพย์ไปในตัว
–
ชีวิตจะได้สุขกายสบายใจ
แต่ทุกวันนี้ บรรยากาศอันแสนสนุกเช่นนั้นไม่มีแล้ว เพราะศาลาวัดหลังเดิมถูกรื้อทิ้งไปจนสิ้น ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษไม้เศษสังกะสีให้ดูต่างหน้า จะมีก็แต่ศาลาหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นจากเหล็กและปูนซีเมนต์เท่านั้นที่ขยับมาแทนที่อย่างหนักแน่น
ขบวนแห่ฯ ผ่านหน้าบ้าน..ชาวบ้านจะแวะรดน้ำดำหัวเจ้าของบ้านแบบเป็นกันเอง
นอกจากนี้แล้ว ผมก็ยังชื่นชอบบรรยากาศของการบังสุกุลอัฐิเป็นที่สุด เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเสมอว่า
ผมเป็นคนมีรากเหง้าและเครือญาติ และที่สำคัญก็คือพิธีทางศาสนาดังกล่าวนี้ ยังเป็นกระบวนการอันสำคัญของการแสดงความกตัญญู
รวมถึงการช่วยให้เราอุ่นใจว่า ญาติมิตรที่ลับล่วงไปนั้น จะได้รับผลบุญที่เราอุทิศไปให้...มีกินมีใช้ในเมืองสวรรค์ ...
และวันนั้น วันที่ใครๆ ต่างก็พากันไปบังสุกุล สิ่งที่จำติดตาเลยก็คือ วัดทั้งวัดจะพลุกพล่านไปด้วยญาติโยมต่างวัยที่พร้อมใจกันรอคิวให้พระท่านนำสวดอุทิศส่วนกุศลไปยังญาติที่ล่วงลับ
นั่นเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขที่ใครหลายๆ คนจะได้ทักทายถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกันอย่างพร้อมหน้า
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งความทรงจำที่ผมหลงรักอย่างไม่รู้จบ นั่นคือการที่คนในบ้านพากันร่วมแรงใจปัดกวาดบ้านให้สะอาดสะอ้าน ราวกับจะมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมยามถามข่าว
และแม่ก็ไม่ลืมที่จะย้ำนักย้ำหนาว่า ในช่วงสงกรานต์นั้น ห้ามไม่ให้พูดคำหยาบใดๆ เดี๋ยวจะนำพาความไม่เป็นมงคลมาสู่ตัวเองและคนในครอบครัว
หรือที่สำคัญเอามากๆ ที่ผมรู้สึกสนุกไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลยก็คือการมีโอกาสได้หาบน้ำจากบ่อหรือบ่อบาดาลไปเทใส่ตุ่มตามบ้านผู้เฒ่าผู้แก่ที่เราเคารพรัก เสร็จแล้วก็ถือโอกาสรดน้ำขอพรจากท่าน
ซึ่งในคำอวยพรนั้น ล้วนเป็นคำพื้นถิ่นอีสานที่สละสลวย ฟังเพราะเสนาะหู
ฟังแล้วเย็นกายสบายใจราวกับได้รับพรอันวิเศษจากเทวดาบนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
แต่พอหวนย้อนกลับมาสู่วันนี้ ภาพชีวิต หรือฉากชีวิตในทางวัฒนธรรมหลายอย่างถูกกลืนหายไปอย่างเงียบๆ และมันก็เป็นธรรมดาของโลกและชีวิตที่ย่อมเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา...
ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ไม่เว้นแม้แต่ความทรงจำของมนุษย์ ซึ่งย่อมเลือนรางไปตามอายุอานามของคนแต่ละคน
เช่นเดียวกับสงกรานต์ที่บ้านเกิดของผมในวันนี้ ไม่หลงเหลือภาพการขนน้ำไปใส่ตุ่มให้คนเฒ่าคนแก่ เพราะนำประปาได้ทำหน้าที่แทนอย่างเสร็จสรรพ
ไม่มีคนหนุ่มคนสาวตื่นเช้าปัดกวาดบ้านเป็นมหกรรม เพราะหลายต่อหลายคนรีบเร่งกับการขึ้นนั่งบนรถกระบะ เพื่อตระเวนเล่นสาดน้ำตามที่ต่างๆ
ไม่มีการก่อพระทราย หรือการตบปะทายที่วัด เพราะฟังดูเหมือนนิยายรัก ปรัมปราที่ตกยุคไปแล้ว
ฯลฯ
ช่างเถอะ...เพราะทุกอย่างย่อมเปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลา
นั่นคือสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้และอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ติดยึดกับวันวานของสงกรานต์จนเกินเหตุ
หรือมากจนไม่อาจพาตัวเองหลุดพ้นออกมาจากวังวนแห่งอดีตนั้นได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เคยสิ้นหวังกับการนำพาหัวใจกลับไปสัมผัสสงกรานต์ที่บ้านเกิดของตัวเองสักครั้งเดียว เพราะผมคิด และเชื่อเสมอมาว่า ...
อย่างน้อย ทั้งผมและคนของความรัก ก็ยังคงจะได้เห็นขบวนแห่พระฯ ผ่านหน้าบ้านเหมือนเก่าก่อน
ได้ร่วมสาดน้ำริมถนนหน้าบ้านของตัวเอง
ได้เตรียมน้ำเย็นๆ ไว้รับรองเพื่อนบ้านที่สัญจรมากับขบวนแห่พระฯ
ได้สรงน้ำพระพุทธรูปที่วัดประจำหมู่บ้าน
ได้รดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ รวมถึงพ่อแม่ และบรรดาเครือญาติในแบบครอบครัวใหญ่
ได้พบปะเครือญาติและเพื่อนบ้านที่ห่างเหินไปตามภารกิจของชีวิต
ได้บังสุกุลไปสู่ญาติที่ล่วงลับ
และที่สำคัญเอามากๆ เลยก็คือ การได้นอนหลับอย่างเป็นสุขในบ้านเกิดอันเป็นที่รักของผมเอง ...
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย แผ่นดิน ใน pandin
สวัสดีค่ะ