ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยกับกฎหมาย / พรบ.การศึกษา ที่หลายฝ่ายบอกว่านั้นคือการ "ปฏิรูปการศึกษา" หรือ "ปฏิรูปการเรียนรู้" จนชินปากชินหู บางหน่วยงานต้นสังกัดยึดติดกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบ้าง ผลการประเมิน สมศ. บ้าง ผลการสอบ o-net / NT บ้าง มาเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ มาเป็นเกณฑ์ในการให้รางวัล ซึ่งจริงๆ แล้วในส่วนหนึ่งของความคิดเห็นของผมนั้นก็มีส่วนเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย ถ้าสิ่งที่ได้พบได้ประจักษ์แล้วมันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น บางครั้งสำนวนว่า "ดาบสองคม" มันก็ชวนให้เราต้องหันมาฉุกคิดว่า กระบวนการที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์อันน่าจะภาคภูมิใจนั้นมันใช้ได้มากน้อยเพียงใด
ผมว่ากระบวนการต่างๆ ที่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการศึกษาได้วางแนวทางไว้นั้นเป็นกระบวนการที่ดีเลยทีเดียว แต่ข้อผิดพลาดที่ผมสังเกตได้นั้นมันอยู่ในขั้นตอนของการปฏิบัติซะส่วนใหญ่ ผู้ประเมินละเลยการประเมินที่เป็นเชิงประจักษ์ หรือการประเมินโดยสภาพความเป็นจริง ผู้รับการประเมินขาดความสำนึกในการปฏิบัติหรือดำเนินการด้วยความเป็นจริง หลายๆ ท่านก็คงทราบกันดีว่า หลายๆ สถานศึกษา จัดสร้างร่องรอยหลักฐานทั้งที่เป็นจริงและเป็นเท็จ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ผู้ประเมินกำหนด ผู้ประเมินก็มาตรวจสอบจากร่องรอยหลักฐานอันมีเบื้องหลังที่มีตำนานแตกต่างกันไป ให้รางวัลกับสถานศึกษาที่สามารถสร้างร่องรอยหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด
ที่ผมกล่าวมาหลายท่านคงนึกค้านอยู่ในใจ เพราะสถานศึกษาของท่านได้ดำเนินการตามสภาพความเป็นจริง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นผมก็ต้องขออภัยและต้องขอชื่นชมสถานศึกษานั้นด้วยความจริงใจครับผม
เข้าประเด็นกันเลยนะครับ..หลายคนลองสังเกตกันไหมครับว่าผู้บริหารโรงเรียนแต่ละคนของท่าน เมื่อได้เข้ามารับตำแหน่งในโรงเรียนของท่านแล้ว สิ่งแรกที่ท่านผู้บริหารจะพัฒนาคืออะไร แน่นอนเลยครับหลายคนต้องตอบคำตอบเดียวกันกับผมนั่นคือ การพัฒนาด้านอาคารสถานที่ครับ ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ก็มาถึงบางอ้อโดยความคิดพิเคราะห์ส่วนตัวว่า...
1.การพัฒนาอาคารสถานที่นั้น เป็นการพัฒนาทางกายภาพที่ทุกฝ่ายจะสามารถเห็นถึงการพัฒนาได้ง่ายที่สุด ชัดเจนที่สุด นั่นคือ การแสดงถึงศักยภาพของผู้บริหารที่จะแสดงให้บุคคลภายนอกได้เห็น
2. การพัฒนาอาคารสถานที่นั้น บ่งบอกถึงรสนิยมของผู้บริหารแต่ละท่าน การปรับเปลี่ยนอะไรก็ตามที่ผู้บริหารคนเดิมสร้างไว้นั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่แต่ละท่านจะยอมกันไม่ได้ที่จะต้องบริหารงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่เป็นผลงานของผู้บริหารท่านเดิม (อันนี้บางท่านนะครับขอย้ำ)
อันดับต่อไปนั้น หากท่านผู้บริหารท่านนั้นโชคดีอาคารสถานที่พร้อมจนถึงที่สุดแล้ว ท่านผู้บริหารท่านนั้นก็จะหันมาให้ความสำคัญของ การพัฒนาด้านกิจกรรมนักเรียน เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก หากบุคลากรมีความพร้อม เพราะฉะนั้นผู้บริหารท่านนั้นๆ ก็จะไม่พลาดเรื่องการส่งกิจกรรมต่างๆ เข้าประกวด ค่ายวิชาการจะผุดขึ้นในโรงเรียนจนครบ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ไม่นับกิจกรรมแนะแนวและค่ายลูกเสือ เนตรนารี หรือยุวกาชาด ข้ออ้างที่ไม่น่าเกลียดและสามารถอ้างได้อย่างไม่ต้องขัดเขิน นั้นคือ กิจกรรมต่างๆ เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์และเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการที่เรายกมาอ้างถึง นั่นคือ "การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ" นั่นเอง
อันดับต่อไปถึงจะหันมาใส่ใจกับเรื่องของกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่จริงจัง (ทั้งๆ ที่เจตนารมณ์ของท่านผู้บริหารทุกท่านที่ปฏิญาณตนต่อหน้าบุคลากรในโรงเรียนว่า การจัดการเรียนรู้ที่เน้นประโยชน์ลงสู่ผู้เรียนนั้นต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งในการปฏิบัตินั้นแทบจะไม่ใช่เลย) ทีนี้เรามาวิเคราะห์ดูว่าทำไมทุกวันนี้นักเรียนในโรงเรียนของเราโดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา จึงมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ค่อนข้างต่ำลงเรื่อยๆ (ทั้งๆ ที่คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนแต่ละโรงเรียนค่อนข้างสูงนะ..แต่ผลการประเมินในระดับชาติมันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน) ผมว่าเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่านโยบายของผู้บริหารโรงเรียนเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครูผู้สอนเลย แต่ที่เป็นอย่างนี้คงเป็นเพราะ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ)
1. การพัฒนาด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่ดีอย่างแท้จริงนั้นต้องใช้เวลาครับ ผู้บริหารทุกคนมีวาระการบริหารงาน 4 ปี แต่หลายๆ คนเต็มที่ 3 ปีก็ขยับขยายด้วยเหตุผลที่เป็นสากลว่า "ย้ายตามความเหมาะสม" เพราะฉะนั้นหากมัวแต่มาพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนละก็ ผลงานมันจะเติบโตไม่ทันกาล ที่สำคัญมันไปงอกเงยในสมัยของผู้บริหารคนใหม่ที่จะมาแทนนั่นเอง (ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าเห็นแก่ตัวหรือเปล่านะ)
2. การพัฒนาด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่จะให้เกิดประสิทธิภาพนั้น เป็นเรื่องยุ่งยาก (ส่วนใหญ่หากได้เริ่มลงมือทำ จะด้วยตั้งใจ หรือบังเอิญเข้ามาบริหารโรงเรียนในช่วงที่ต้องบังคับให้ประเมินพอดีก็ตามก็จะอ้างว่า ผู้บริหารคนเดิมไม่ได้ทำไว้) ต้องจัดอบรมครู ต้องมอบหมายงาน เพิ่มภาระงาน ติดตามผลงาน ฯลฯ กว่าจะรวบรวมข้อมูลได้เพื่อลงมือปฏิบัติ ก็คงถึงวาระการโยกย้ายซะก่อน ..อย่างนี้ใครจะทำ ทนยุ่งยากแล้วผลไปเสร็จสมบูรณ์ในสมัยคนอื่น (นี่แหละครับสิ่งที่ผมวิเคราะห์นะ)
อันนี้มาเข้าสู่หัวข้อที่เกริ่นไว้คือ ถ้าผมได้เป็นผู้อำนวยการเมื่อไร..สิ่งที่ผมจะทำ ในกรณีของการจัดการจักระบวนการเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จ ผมจะทำ ดังนี้
1.ผมจะเน้นในเรื่องของจัดการเรียนการสอนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 ให้นักเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องเน้นในเรื่องของการจัดกิจกรรมที่มากจนเกินพอดี การเรียนการสอนเน้นวิชาภาษาไทยเป็นหลัก โดยให้วิชาอื่นๆ บูรณาการเข้าในเนื้อหาของวิชาภาษาไทย แต่วัดผลตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หรือตามสาระการเรียนรู้แกนกลาง หรือที่สถานศึกษากำหนดเหมือนเดิม แต่วิธีการนั้นปรับตามความเหมาะสม เมื่อนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 อ่านออกเขียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือเด็กสามารถที่จะเรียนรู้ได้ในทุกวิชา อ่านข้อสอบได้ไม่ใช่กามั่วโดยอ่านไม่ออก เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เมื่อเรียนรวมกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียนก็จะสร้างปัญหาในชั้นเรียน เพราะเค้าไม่รู้จะทำอะไรเพราะเริ่มจากการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั่นเอง
2.ลดกิจกรรมการประกวดที่มากจนเกินพอดี แน่นอนการประกวดเป็นส่วนหนึ่งที่จะชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการบริหารสถานศึกษา แต่ผมจะประกวดในรายการที่ได้ปฏิบัติจริงๆ ในโรงเรียน ไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับครูมากเกินไป ไม่ทำแบบผักชีโรยหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมนั้นต้องไม่เบียดเบียนเวลาการเรียนรู้ของนักเรียนที่เขาควรได้รับตามสิทธิของเขา
3. หันมาใส่ใจกับกระบวนการนิเทศภายในอย่างจริงจังและเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการนิเทศสภาพแวดล้อม หรือการนิเทศการสอน เพราะผมคิดว่ากระบวนการนิเทศเป็นกระบวนการที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการปฏิบัติจริงตามสภาพจริงนั่นเอง
หลายคนคงนึกหมั่นไส้ผมน่าดูนะครับ ว่าที่ผมกล่าวมานั่นน่ะใครก็พูดได้ถ้าลองได้มานั่นในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนจริงๆ แล้วจ้างก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่พูดหรอก ข้อนี้ผมไม่ขอเถียงครับ เพราะในตอนนี้ผมก็ยังคงไม่ได้เป็นในตำแหน่งดังกล่าว และที่สำคัญบริบทของแต่ละสถานศึกษาไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ
"ผมมีความตั้งใจที่จะทำอย่างที่กล่าวมาจริงๆ อย่างน้อยก็ทำอย่างเต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม เราก็จะภูมิใจว่าเราได้ทำเต็มที่ เต็มความสามารถของเราแล้ว"
เป็นความคิดเห็นที่ดีมากครับ สำหรับสิ่งที่จะทำเมื่อเป็นผู้บริหารโรงเรียน
ถึงแม้ยังไม่ได้ทำ อย่างน้อยคิดไว้ก่อนก็ดีมากครับ
เห็นด้วยครับ..ผู้บริหารโรงเรียนควรต้องเน้นการยกระดับการเรียนรู้เป็นอันดับแรกหาใช่สภาพแวดล้อมดังเช่นที่ผู้บริหารปัจจุบันหลายๆท่านดำเนินการอยู่...
ข้อคิดของท่านช่างตรงกับแนวคิดของผมเป็นที่สุด..แม้อาจดูเพ้อฝันไปบ้างแต่อย่างน้อยเป็นความตั้งใจของเราที่จะดำเนินการภายใต้กรอบบริบทของแต่ละพื้นที่....
ดีมากมาก ทำเลยนะ จะได้เห็นผล เป็นอย่างไร ก็เขียนลงอีกจะให้กำลังใจและติดตาม
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่เข้ามาเยี่ยมบันทึกนี้ครับ
1. ชายขอบ
เมื่อ พ. 15 เม.ย. 2552 @ 00:34
1240158 [ลบ] [แจ้งลบ
2. ธนิตย์ สุวรรณเจริญ
เมื่อ พ. 15 เม.ย. 2552 @ 01:22
1240171 [ลบ] [แจ้งลบ]
3. small man~natadee
เมื่อ พ. 15 เม.ย. 2552 @ 10:34
1240400 [ลบ] [แจ้งลบ]
4. Alam
เมื่อ พ. 15 เม.ย. 2552 @ 15:00
1240947 [ลบ] [แจ้งลบ]
5. saard2552 [IP: 124.121.50.137]
เมื่อ พ. 15 เม.ย. 2552 @ 15:06
1240958 [ลบ] [แจ้งลบ]
ได้แวะเข้าไปอ่านบันทึกของทุกท่านมาด้วยครับ มีความน่าสนใจมากๆ ยินดีที่รู้จัก และขออนุญาติรับบันทึกไว้ในแพลนเน็ตาของผมด้วยนะครับ
ขอเป็นกำลังใจค่ะ
เหมือนจะมีแนวร่วมเดียวกันแล้ว คิดมานาน จากไม่เคยอยากเป็นผู้บริหารเลย แต่วันนี้นึกเปลี่ยนความคิดว่า อยากผลักดันสิ่งที่ควรจะเป็นไปได้ให้มันเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสักที พูดง่ายๆอยากจะพลิกโฉมการศึกษา ต้องเริ่มจาก พลิกแนวคิดผู้บริหารทั้งหลายแหล่ที่ยึดติดภาพลักษณ์ มากกว่าคุณภาพที่เป็นจริง โดย ไม่ยอมรับความเป็นจริงที่ต้องนำมาเปลี่ยนแปลง แต่วิ่งหาสิ่งเสริมภาพลักษณ์จนหนักอึ้ง ครูเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แล้วปัญหาคือเด็กแทบไม่ได้อะไรเลย ยังมีอีกมาก...ประสบการณ์จากการทำงานเป็นครูมา 24 ปี แล้ว อยากให้สิ่งที่คิดมันเป็นไปได้สักที เอาใจช่วยนะคะ จากกระทู้ของท่าน เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนนี้ท่านเป็นผู้บริหารรึยัง