มหาวิทยาลัยไทยและจีน มีความสัมพันธ์กันมานาน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็มีมาตลอด ลองไปดูมา 2-3 ครั้ง ก็ให้อนาถใจมากขึ้น คราวหน้าจะไม่ไปดูแล้ว เพราะเบื่อ และรู้สึกอับอายเขามาก เพราะของเราแบบเดิมๆ การรำฟ้อนที่โชว์ความสวยงามอย่างเดียว มิได้โชว์ศักยภาพที่เด่นชัดของเด็กแต่อย่างใด ผิดกับเด็กจีน ที่มีการโชว์ศักยภาพของตนเอง ไม่ว่าการเล่นดนตรีจีน การเขียนอักษรจีนด้วยภู่กัน การร้องเพลงเดี่ยว และหมู่ทั้งชายหญิง การรำที่มีความหมาย เช่นเก็บใบชา แต่ของไทยโชว์ความสวยงามของเสื้อผ้า การรำแบบเดิมๆ ที่ดูเป็น 1,000 ครั้งก็พอรู้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อไรพวกอาจารย์ที่รับผิดชอบจะคัดสรรเด็กที่มีความสามารถจริงๆ โชว์เขาบ้าง มิใช่หน้าเดิมๆ รำเหมือนเดิม แถมมีอาจารย์บางคนเอากุหลาบมาแจกเด็กจีน แต่เด็กไทยเรานำกลับบ้านเฉยเลย พฤติกรรมที่ฟ้องความเห็นแก่ตัว การไม่ลงทุนสำหรับฝ่ายต้อนรับ จัดเมื่อใดก็อายเมื่อนั้น จริงหรือไม่
ตอนนี้ประเทศจีนมีการพัฒนาประเทศจนมีศักยภาพพร้อมใน
ทุกๆด้าน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเยาวชนของจีนได้รับการศึกษาที่มี
คุณภาพ ผิดจากประเทศไทยที่ระบบการศึกษาไม่ว่าจะยุคสมัยใด
ก็ยังไม่ได้มาตราฐาน นักเรียนไม่มีระเบียบวินัย เรื่องนี้ต้องให้
ผู้ใหญ่ของประเทศคิดระบบการศึกษาที่ได้ผล
เพื่อประเทศไทยของเราที่ก้าวหน้า มิใช่ย่ำอยู่กับที่อย่างเช่นวันนี้
การศึกษาของไทยนั้น มุ่งเน้นแต่การศึกษาในห้องเรียนแข่งกันทำคะแนน แข่งกันทำเกรด เด็กจึงเรียน เรียน แล้วก็เรียน เพราะสังคมไทยตัดสินกันที่เกรด ศักยภาพด้านอื่นๆ จึงไม่มี การแสดงที่นำไปโชว์ นอกจากการรำที่ซ้ำซาก รำเหมือนเดิมทุกครั้ง น่าจะจัดการแสดงที่แสดงถึงการใช้ความคิดความสามารถเพื่อให้คนจีนได้รับรู้ว่าเด็กไทยมีความสามารถนอกเหนือจากเรื่องศิลปะการแสดง ระบบการศึกษาของไทยก็สอนให้ท่องจำ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบ child center แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากไปกว่าให้นักเรียนออกมา present หน้าห้อง ให้นักเรียนไปค้นคว้าหาความรู้เอาเอง อาจารย์ก็สบายมากขึ้น ด้านภาษาอังกฤษก็เน้นแต่ไวยากรณ์ ทำให้เด็กไม่กล้าที่จะพูดเพราะกลัวเรียงประโยคผิด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมีคุณภาพทัดเทียมต่างประเทศ