ความเป็นเพื่อนมิตรเหล่านี้เองในที่สุดจะสะท้อนให้เห็นถึงร่องรอยของอดีตที่ทำให้เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรามากขึ้น และความสัมพันธ์ในปัจจุบันจะสามารถเชื่อมโยงให้เข้ากับการเมืองและวัฒนธรรมในระดับชีวิตประจำวันที่พวกเขาปฏิบัติการอยู่ได้ เป็นความสมานฉันท์ที่ไม่ตกอยู่ในความทรงจำแห่งอดีตที่นำอดีตมาเป็นบาดแผลกัดเซาะเรื่องราวในปัจจุบัน
ความเป็นไปได้ในสังคมไทย :
แรงงานข้ามชาติบนเส้นทางสมานฉันท์
การจัดงานสัปดาห์สิทธิมนุษยชนภาคประชาชน 2548 ระหว่างวันที่ 9-16
ธันวาคม 2548 ภายใต้แนวคิดรวบยอดว่า สิทธิมนุษยชน คือ
จุดเริ่มต้นของสันติภาพ
เรื่องแรงงานข้ามชาติบนเส้นทางสมานฉันท์เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างจริงจัง
วันนี้ภายใต้กระแสลมแห่งโลกาภิวัตน์ที่พัดพาผู้คนต่างเชื้อชาติ
ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างวิธีคิด ต่างความเชื่อ ให้มาอยู่ร่วมกัน
โดยเฉพาะวันนี้ที่มีคนข้ามชาติจากประเทศพม่า ในหลายสถานะและหลายมิติ
ทั้งในนามของแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย นักศึกษาพม่าและ POC
อยู่ในสังคมเดียวร่วมกับเรานับล้านคน สิ่งที่สำคัญกว่าที่จะถามว่า
ทำไมเขาถึงมา? ทำไมเขาต้องอยู่? ทำไมเขาไม่กลับไปเสียที?
อาจจะมีความสำคัญน้อยกว่าคำถามที่ว่า เมื่อเขาจำเป็นต้องอยู่
ทำอย่างไรสังคมไทยถึงจะมีกระบวนการในการทำให้ เรา และ เขา
เข้าใจกันและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคมไทย
ที่เรียกตัวเองว่าเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมมากกว่า
สืบเนื่องจากในช่วงนี้ที่ความคิดเรื่องการสมานฉันท์
เป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้
ด้วยความเชื่อมั่นว่าหลักการสมานฉันท์นี้เองจะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาและเยียวยาร่องรอยบาดแผลผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
ผู้เขียนจะลองนำหลักการนี้มาปรับใช้กับปรากฏการณ์เรื่องแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า
และพยายามวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้เพียงใดที่พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสมานฉันท์เส้นนี้
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
[1] ได้ให้ภาพของแนวทางสมานฉันท์ไว้อย่างน่าสนใจว่า
การสมานฉันท์จะเกิดขึ้นให้ได้จริงนั้น ต้องมีการยอมรับความจริง
มีการแสดงความพร้อมรับผิดจากผู้ก่อความรุนแรง
มีการให้อภัยจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งความรุนแรง
การสมานฉันท์ไม่ใช่การชักชวนผู้คนที่ขัดแย้ง
ที่ต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงต่อกันให้มายิ้มแย้มคืนดีกัน
และหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
แต่คือความพยายามที่จะแก้ปัญหาความรุนแรงโดยมิได้ใช้วิธีการรุนแรงมาแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น
(problem-solving approach and not a violent approach to solve a
problem of violence) บนพื้นฐานความเข้าใจว่า
ความรุนแรงมิได้เพียงเกิดขึ้นจากผู้กระทำ
แต่ยังมีสาเหตุอยู่ที่โครงสร้างและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังผู้คนที่แตกต่างจากเรา
คอยหล่อเลี้ยงให้ความชอบธรรมอยู่ด้วยเช่นกัน
ถ้าจะใช้วิธีการแก้ปัญหาความรุนแรง(problem-solving
approach)ก็คงต้องสนใจปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ผลิตตัวคนใช้ความรุนแรง
และปัจจัยเชิงวัฒนธรรมที่ให้ความชอบธรรมกับการใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญ
เพราะถ้าไม่ใส่ใจกับสาเหตุเชิงโครงสร้าง
และเงื่อนไขทางความคิดความเชื่อที่ให้ความชอบธรรมต่อความรุนแรง
ก็จะหยุดวัฏจักรแห่งความรุนแรงนี้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้แนวทางสมานฉันท์จึงจำเป็นต้องมุ่งสร้างสรรค์ความเป็นธรรมในสังคม
ลดช่องว่างระหว่างผู้คนที่ต่างกัน
ส่งเสริมให้กลไกของรัฐทำงานด้วยความพร้อมรับผิด(accountability)
ในแง่นี้ทั้งการเผชิญกับความจริง การให้อภัย
และการสานเสวนาข้ามพรมแดนแห่งความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้แนวทางสมานฉันท์เป็นไปได้
การสมานฉันท์จะเน้นการให้อภัย
ที่ไม่ใช่การหลอกตัวเองให้ลืมอดีตที่เกิดขึ้น
หรือทำราวกับว่าความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แต่เป็นการมุ่งเปลี่ยนแปลงความทรงจำอันเจ็บปวดให้กลายเป็นพลังในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง
ให้จดจำความตายของเหยื่อและชะตากรรมของผู้ก่อเหตุ
เพื่อหวังว่าไม่ให้คนอื่นๆในสังคมจะต้องกลายเป็นเหยื่อความรุนแรงอีกต่อไป
การทำงานสร้างความสมานฉันท์ในสังคมจะเป็นไปได้ยาก
ถ้าผู้คนไม่ยอมให้อภัยกัน
ในเมื่ออดีตแห่งความรุนแรงไม่สามารถหวนคืนมาได้
สังคมไทยจะอยู่ร่วมกันระหว่างคู่ขัดแย้งที่เคยฆ่าฟันกันมาได้อย่างไร
หากไม่อาศัยการให้อภัย แต่การให้อภัยไม่ได้หมายความว่า
จะเกิดขึ้นได้ด้วยลมปาก โดยให้ลืมความเจ็บปวด
ให้ทิ้งอดีตแห่งความอยุติธรรมที่เคยเกิดขึ้น
แต่
เงื่อนไขสำคัญของการให้อภัยคือ
การธำรงความทรงจำเพื่อปลดปล่อยตนเองออกจากพันธนาการแห่งอดีต
การปลดปล่อยเช่นนี้เป็นไปได้
ด้วยอาศัยการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจด้วยสันติวิธี
และเงื่อนไขสำคัญของการต่อสู้ด้วยสันติวิธีคือ การใช้แนวทางสานเสวนา
(dialogue)
โดยเฉพาะถ้าความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างผู้คนที่ต่างกันด้วยศาสนาและชาติพันธุ์
ก็คงต้องอาศัยการสานเสวนาข้ามศาสนา-ชาติพันธุ์เป็นสำคัญ
แม้ทั้ง"ความทรงจำ"และ"สันติวิธี"จะเป็นเงื่อนไขที่สำคัญ
แต่ก็ยังไม่เพียงพอเพราะ"ความยุติธรรม"ก็จำเป็น
เพื่อให้ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมการเมืองเดียวกันต่อไปได้
อย่างไรก็ตามความยุติธรรมคงไม่เกิดขึ้นถ้าสังคมซึ่งผ่านอดีตอันรุนแรงมาแล้วไม่ยอมเผชิญกับ"ความจริง"ในบางลักษณะ
เพราะความจริงสำคัญไม่ใช่เพียงเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ยังเพราะความจริงเปรียบดัง"ยารักษา"สังคมที่ได้รับทุกข์และเก็บงำไว้ไม่ยอมเผชิญหน้าด้วย
เมื่อความจริงปรากฏ
ก็ยังต้องหาวิธีให้ผู้คนที่กระทำผิดมี"ความพร้อมรับผิด"
(accountability) เพื่อสร้างความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของสังคม
และเพราะกระบวนการยุติธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจทางการเมือง
ที่กำหนดสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
การจินตนาการถึงรูปแบบทางการเมืองลักษณะต่างๆเท่าที่จะเป็นไปได้
ในกรอบที่ผู้คนในสังคมยอมรับจึงเป็นหนทางหนึ่งที่อาจแก้ปัญหาความรุนแรงที่เรื้อรังไม่จบสิ้น
ในกรอบสัมพันธภาพทางอำนาจที่เคยเป็นอยู่ได้
แต่ทั้งหมดนี้เป็นหนทางที่ต้องเสี่ยง การยอมรับความเสี่ยง
เป็นปัจจัยทดสอบความไว้วางใจ(trust)
ที่ผู้คนมีต่อสังคมการเมืองอย่างมีความหมาย
กล่าวได้ว่าแนวทางสมานฉันท์น่าจะประกอบด้วยความคิดหลัก 9
ประการคือ
1. การเปิดเผย"ความจริง" (truth) :
ให้ความสำคัญกับ"ความจริง"ทั้งในฐานะเครื่องมือและเป้าหมายของสังคมสมานฉันท์เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
ขณะเดียวกันก็หาหนทางให้สังคมไทยตระหนักถึง"ราคา"ในการเปิดเผย"ความจริง"นั้นด้วย
2. ความยุติธรรม (justice): ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
(restorative justice) ด้วยการส่งเสริมแนวคิดวิเคราะห์ในสังคมไทย
ให้เรียนรู้การแยก"คนผิด"ออกจาก "ความผิด"
ตลอดจนเรียนรู้วิธีการมองปัญหาความรุนแรงในบริบทเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม
ให้เห็นคนบริสุทธิ์กลุ่มต่างๆที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง
3. ความพร้อมรับผิด (accountability):
ส่งเสริมระบบและวัฒนธรรมความพร้อมรับผิดในระบบราชการ
เปิดโอกาสให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องหาให้ครบถ้วน
4. การให้อภัย (forgiveness):
ให้ตระหนักถึงความทุกข์ยากของเหยื่อความรุนแรง
ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงศักยภาพของสามัญชน
ที่จะให้อภัยผู้ที่กระทำร้ายต่อตนและครอบครัว
ก้าวพ้นความเกลียดชังผู้คนที่ต่างจากตน
และเป็นผู้ทำร้ายคนที่ตนรัก
5. การเคารพความหลากหลายทางศาสนาวัฒนธรรม
ส่งเสริมสานเสวนาระหว่างกัน(dialogue) :
ให้ความสำคัญกับขันติธรรมในฐานะคุณค่าทางการเมือง
การเรียนรู้ศาสนาต่างๆที่ดำรงอยู่ในประเทศไทย
ทั้งแนวปฏิบัติและหลักธรรมคำสอน
ทั้งนี้โดยถือว่าสานเสวนาระหว่างศาสนา(religious dialogue)
เพื่อสร้างความลุ่มลึกในศาสนธรรมของตน
โดยเคารพความเชื่อของผู้อื่นพร้อมกันไป
เป็นปัจจัยเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคมไทย
บนฐานแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม
6. ถือเอาสันติวิธี (nonviolence)เป็นทางเลือกเผชิญความขัดแย้ง:
ส่งเสริมให้สังคมไทยตระหนักในภัยของความรุนแรงต่อสังคม
และแสวงหาทางออกเชิงสันติวิธีในฐานะทางเลือกหลักเมื่อเผชิญกับความขัดแย้ง
7. การเปิดพื้นที่ให้ความทรงจำที่เจ็บปวด (memory):
ด้วยการเปิดพื้นที่ให้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย
ให้ผู้คนในสังคมไทยเข้าใจการเมืองของประวัติศาสตร์ เพื่อให้เห็นว่า
ประวัติศาสตร์"มิใช่บันทึกความจริง" แต่เป็น"ความจริงทางการเมือง
"ที่ถูกเลือกสรรโดยระบบความรู้ที่ถูกหนุนอยู่โดยฝ่ายที่ครองอำนาจในที่สุด
8. มุ่งแก้ปัญหาในอนาคตด้วยจินตนาการ (imagination):
เพราะจินตนาการทางการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสังคมการเมืองที่ยั่งยืน
ให้พร้อมเผชิญปัญหาใหม่ๆ ที่สำคัญต้องลด"ภยาคติ"ลักษณะต่างๆ
เสริมสร้างความมั่นใจในตนเองบนฐานของความเป็นจริง
เพื่อให้เห็นว่าสังคมไทยมั่งคั่งในทรัพยากรทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
และมั่นคงพอจะเผชิญกับการท้าทายรูปต่างๆได้
9. การยอมรับความเสี่ยงทางสังคม
เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน (risk-taking):
เรื่องนี้มีความหมายเพราะการยอมรับความเสี่ยงเป็นเงื่อนไขสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
บนฐานแห่งความไว้วางใจ(trust)
อันเป็นคุณลักษณ์สำคัญของแนวความคิดสมานฉันท์
สำหรับปรากฏการณ์เรื่องแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า
ผู้เขียนมีข้อเสนอดังนี้
ต่อรัฐราชการไทย
รัฐราชการไทยต้องยอมรับความจริงว่ามีการใช้ความรุนแรงกับตัวแรงงานข้ามชาติอยู่
และความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลต่อผู้เกี่ยวข้องกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงด้วยเช่นกัน
ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม
ที่มี"รัฐ"คอยค้ำจุนความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงอยู่เบื้องหลัง
ต่อแรงงานข้ามชาติ
แม้ว่าสังคมไทยจะเคยทำร้าย ดูหมิ่น
เหยียดหยาม ไม่ให้โอกาส เกลียดชังเรา เพียงใดก็ตาม
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเกลียดชังเรา
แต่มันมีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้เขาเชื่อเช่นนั้นว่า
เราเป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง
เป็นผู้มาแย่งงานคนไทย เป็นผู้ไว้ใจไม่ได้
กระบวนการเหล่านั้นครอบงำพวกเขามานานผ่านระบบการศึกษา ผ่านความเชื่อ
จนฝังรากลึกและยากที่จะเปลี่ยนแปลงในเร็ววัน
เราจะต้องเข้าใจและอภัยสิ่งที่เขาทำกับเรา
ต่อภาคประชาชนไทย
ไม่จำเป็นที่แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าเท่านั้นที่จะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย
แรงงานเถื่อน หรือผู้ค้ายาเสพติด
ใครก็สามารถจะเป็นได้ทั้งนั้นแม้แต่คนไทยเองก็ตาม
เราจะต้องขจัดอคติเชิงลบที่มีต่อพวกเขาให้ได้
โดยการพยายามหันมามองพวกเขาอย่างเข้าใจ
อย่างจำแนกแยกแยะบนความเคารพของความแตกต่างอย่างสมานฉันท์มากยิ่งขึ้น
มีเรื่องราวการยึดโรงพยาบาลราชบุรีเกิดขึ้น มีเหตุการณ์ยึดสถานฑูตพม่า
มีภาพความรุนแรงเกิดขึ้นจริง มีผู้ได้รับผลกระทบ
ได้รับความเดือดร้อน
แต่เราอย่าหยุดแค่ที่การมองที่เหตุความรุนแรง
ความรุนแรงเป็นเพียงปัจจัยปลายเหตุที่เกิดขึ้นเท่านั้น
เราอาจจำเป็นต้องตั้งคำถามให้ลึกซึ้งต่อคำว่า ทำไม ทำไม ทำไม
ซึ่งอาจจะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่พวกเขากระทำมากยิ่งขึ้น
ระบบการศึกษาไทยจะต้องมีเวทีในการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรา
ที่ไม่เพียงรับรู้แต่จะต้องเข้าใจและเคารพวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรา
อย่ายึดติดเฉพาะวัฒนธรรมทางชาติพันธุ์ของตนเอง
จนทำให้เกิดอคติทางชาติพันธุ์หรือการดูถูกวัฒนธรรมอื่น
เปลี่ยนวิธีคิดให้มีมิติความหลากหลายและเห็นความซับซ้อนของสังคม
เห็นความเป็นตัวตนของคนต่างวัฒนธรรม
ผู้เขียนเห็นว่าแนวทางสมานฉันท์ที่กล่าวมานี้ เป็นจริงได้ เกิดขึ้นได้
เปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งสะท้อนผ่านการทำงานในชีวิตประจำวันของผู้เขียนที่ต้องทำงานกับทั้งอดีตทหารพม่า
นักการเมืองพม่า นักศึกษาพม่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆจากประเทศพม่า
ที่แตกต่าง หลากหลาย ขัดแย้ง ไม่เป็นหนึ่งเดียว
และต่างมีอคติชาติพันธุ์ซึ่งกันและกัน
แต่เราและเขาต่างสามารถทำงานร่วมกันได้
บนพื้นฐานของการยอมรับความแตกต่าง การไว้วางใจบนความเสี่ยง
การให้โอกาส และการสร้างความเป็นเพื่อน
ความเป็นเพื่อนมิตรเหล่านี้เองในที่สุดจะสะท้อนให้เห็นถึงร่องรอยของอดีตที่ทำให้เราเข้าใจเขา
เขาเข้าใจเรามากขึ้น
และความสัมพันธ์ในปัจจุบันจะสามารถเชื่อมโยงให้เข้ากับการเมืองและวัฒนธรรมในระดับชีวิตประจำวันที่พวกเขาปฏิบัติการอยู่ได้
เป็นความสมานฉันท์ที่ไม่ตกอยู่ในความทรงจำแห่งอดีตที่นำอดีตมาเป็นบาดแผลกัดเซาะเรื่องราวในปัจจุบัน
ฉะนั้นผู้เขียนเชื่อว่าแนวคิดสมานฉันท์จะใช้ได้ทั้งตัวแรงงานข้ามชาติและรัฐราชการไทยเองนั้น
พวกเขาจะต้องร่วมกันสร้างช่องทางการสื่อสารให้ตรงกัน
ใช้ภาษาชุดเดียวกันในการสื่อสาร
พร้อมๆไปกับการที่รัฐต้องพยายามแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรมความเชื่อทีมีต่อคนกลุ่มนี้ให้ลดน้อยลง
มีการปรับปรุงปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่เอื้อต่อแรงงาน
มีการสร้างกระบวนการทางการศึกษาที่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้สาธารณชนยอมรับความเป็นจริงว่า
ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นพลังสร้างความเข้มแข็งในสังคมไทย
รวมถึงผู้คนในสังคมไทยเองก็ต้องกล้าที่จะจินตนาการถึงอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและชุมชนแบบใหม่
ความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบใหม่ระหว่างรัฐกับประชาชนที่มีทั้งคนในชาติและคนข้ามชาติอยู่ร่วมกัน
ด้วยความเชื่อว่าจินตนาการใหม่นี้เองจะนำไปสู่การสร้างชุมชนทางการเมืองที่เข้มแข็งร่วมกัน
ภายใต้การยอมรับศักดิ์ศรีและตัวตนที่หลากหลาย
แม้ว่าแนวคิดสมานฉันท์จะเป็นไปได้สำหรับการสร้างพื้นที่แห่งความไว้วางใจระหว่าง
รัฐ ผู้คน ชุมชนไทย และตัวแรงงานข้ามชาติ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ
แม้จะสมานฉันท์กันได้
แต่วันนี้เองภาพของความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่กระทำต่อแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าก็ยังดำรงอยู่
เพียงแต่ทว่าการรับรู้ของสาธารณชนถูกทำให้พร่าเลือนจนกระทั่งมองไม่เห็น
แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มี ไม่เกิดขึ้น
เพราะความจริงก็คือหลายพื้นที่ในสังคมไทยโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น
แม่สอด กาญจนบุรี ระนอง ก็ยังปรากฏความรุนแรงอยู่
แต่ภาพความรุนแรงเหล่านี้ถูกทำให้หายไป
หรือมีกระบวนการทำให้ช่องทางการสื่อสารระหว่างเรากับเขาที่จะเชื่อมการรับรู้เรื่องความรุนแรงต่อกันไม่มี
แปลว่า
การสมานฉันท์ในหมู่แรงงานข้ามชาติกับปรากฏการณ์ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมยังเดินไปพร้อมๆกัน
บทส่งท้าย
ไม่ใช่ว่าความแตกต่างของกลุ่มชน ความไม่ลงรอยทางวัฒนธรรม
และบาดแผลจากอดีตจะไม่ดำรงอยู่ จะไม่เคยเกิดขึ้น
แต่ทั้งพวกเขาและพวกเราต่างกันให้มันเป็นความทรงจำไม่ใช่ปัจจุบัน
บรรยากาศแห่งความสมานฉันท์บนร่องรอยของบาดแผลในอดีต
จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าขาดการทำงานกับพวกเขามาเป็นเวลายาวนาน
สร้างความวางใจ พัฒนากลายเป็นเพื่อนมิตรและสหายในที่สุด
บนความสมานฉันท์ไม่ใช่ไม่มีความแตกต่าง ไม่ใช่ไม่มีความขัดแย้ง
แต่พวกเขากลับแปรให้เป็นบทเรียนที่สำคัญในปัจจุบัน
บทเรียนที่จะทำให้เกิดการตระหนักรู้และเข้าใจความขัดแย้งในอดีตที่สืบเนื่องมาจนถึงวันนี้
บทเรียนที่จะทำให้เห็นกลไกการสืบทอดอันน่าสะพรึงกลัวที่คอยหลอกหลอนและทำร้ายหัวใจเราด้วยการประหัตประหารและเกลียดชังกัน
ไม่ว่าวันนี้ร่องรอยทางประวัติศาสตร์จะถูกตอกย้ำผ่านแบบเรียนประวัติศาสตร์
แผนที่ ดินแดน
ให้เกิดเป็นความทรงจำของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่าถึงความไม่ลงรอย
ความขัดแย้ง ความไม่สมานฉันท์ของอาณาจักรอโยธยาและหงสาวดี
ให้สถาปนาเกิดเป็นความทรงจำแห่งความขัดแย้งที่ไม่สมานสนิทระหว่างคนไทย-คนพม่าก็ตามที
แต่เวทีแห่งการพบปะระหว่างนักพัฒนาไทย นักวิชาการไทย คนงานไทย
คนงานจากประเทศพม่า
หรือแม้แต่นักกฎหมายก็ตามทีได้ชี้ให้เห็นถึงความสมานฉันท์ที่พยายามจะสร้างเวทีนิยามแห่งความหมายใหม่ที่ไปไกลกว่า
ความสยบยอมและหลอกตนเองให้ลืมบาดแผลความทรงจำที่ถูกตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยากจะลืมเลือนได้จริง
เวทีแห่งความสมานฉันท์กลายเป็นภาคปฏิบัติการจริงที่มีบทพิสูจน์และชี้ให้เห็นถึงความหมายที่เกิดขึ้นได้จริง
เวทีที่ยากจะนิยามและชี้ชัดว่านี้คือ
คนไทยหรือคนที่มาจากประเทศพม่าผ่านเพียงถ้อยคำวาจา
เวทีที่คำนิยามว่านี้คือพวกเรา พวกเขา
กว้างเกินสายเลือดและชาติพันธุ์
เวทีที่ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งไม่ได้ตกหาย
แต่มันถูกทำให้ลืมเลือนไปได้ด้วยคำว่าสหายและเพื่อนมิตร
ที่ซึ่งคำนี้มีความหมายกว้างไกลกว่าเส้นแดนที่จะมาขีดกั้นผู้คนแห่งสองฟากฝั่งให้รู้สึกในชะตากรรมร่วมแห่งความทุกข์ทนและความขัดแย้ง
เวทีที่เพื่อนจะไม่นิ่งดูดาย
เมื่อเพื่อนถูกทำร้ายและร้องขอความเป็นตัวตนกลับคืนมา
เวทีที่ความแตกต่างและความขัดแย้งถูกกันให้เป็นภาพความทรงจำแห่งอดีต
ที่ลอยล่องในอดีตและไม่หวนกลับคืนสู่ปัจจุบัน
ที่จะทำให้อดีตคุโชนและแปรเปลี่ยนเป็นการทำร้ายกันโดยใช้ประวัติศาสตร์บาดแผลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ
เวทีที่บอกว่าวันนี้สังคมไทยมีคนข้ามชาติจากประเทศพม่ามากมายอยู่ร่วมกับเรา
ที่ไม่ใช่มีเพียงคนงาน ผู้ลี้ภัย นักศึกษาพม่า นักการเมืองพลัดถิ่น
ที่อยู่ร่วมกับเราผ่านการเรียกขานและนิยามพวกเขาด้วยสายตาของเราเท่านั้น
แต่เวทีชี้ให้เราตระหนักและเรียกร้องอีกต่างหากว่า พวกเรา คือ
คนในสังคมแบบใหม่ ที่ถูกเรียกขานและนิยามให้เห็นตัวตนที่ชัดเจนว่า
คนข้ามชาติ คนที่จำต้องเดินทางข้ามรัฐ ข้ามแผ่นดินมาสู่ยังดินแดนไทย
ด้วยเหตุผลมากมายนานับประการ
อย่ามองเราด้วยสายตาเพียงคำว่าแรงงาน ผู้ลี้ภัย ผู้ผิดกฎหมาย
ผู้หนีเข้าเมือง
โปรดเปิดหัวใจและมองเราด้วยสายตาแห่งสหายและเพื่อนมิตรที่หล่อน้ำคำแห่งคำว่าอภัยและสมานฉันท์ด้วยความรัก
เมื่อหัวใจเริ่มเปิดรับ
เราเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดจากปัญหาแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ที่กำลังถูกส่งผ่านและกลายเป็นความเชื่อ ความรู้ชุดใหม่ในปัจจุบัน
จะถูกลดทอนลงและมองพวกเราด้วยสายตาของความเป็นคน คนข้ามชาติ
มากยิ่งขึ้น
วันนี้วันแรงงานข้ามชาติสากล
วันที่โลกเต็มไปด้วยการอพยพย้ายถิ่นของผู้คนข้ามพรมแดนของรัฐชาติ
จะต้องเป็นวันที่คนข้ามชาติในซอกมุมต่างๆของโลกจะสถาปนาตัวตนขึ้นมาใหม่
เพื่อต่อรองและทัดทานหรือหลีกเร้นกับอำนาจครอบงำของรัฐชาติและทุน
และร่วมกันกู่ร้องดังๆว่า วันนี้ คือ
วันที่เราจะต่อสู้เพื่อต่อต้านการกดขี่
การเอารัดเอาเปรียบคนข้ามชาติในทุกๆรูปแบบ
เพื่อยืนยันความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการเคารพศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
[1] ได้ความคิดมาจากชัยวัฒน์ สถาอานันท์
ปาฐกถาในการสัมมนาบทบาทภาคประชาชนกับการมีส่วนร่วมในการจัดการความขัดแย้งปัญหา
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามแนวทางสันติวิธีและสมานฉันท์ จัดโดย
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน
(ครป.)มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทร์เกษม, 17
กันยายน 2548