หลวงพี่ ..ร้านกาแฟ และสังฆะ (กลุ่มเล็กๆ)


น้องหมอที่สนิทกัน  แถมสนใจในการปฎิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังโทรมาบอกว่า  จะมาประชุมที่เชียงใหม่

น้องสาวคนนี้ ล่าสุดเพิ่งเข้าภาวนาสายวัชรยานกับครูตั้มมาไม่นานนัก  ข้าพเจ้าจึงพูดเล่นๆว่า  สายเถรวาทก็

ไปมาแล้ว สายวัชรยานก็ไปมาแล้ว  ยังไม่ครบนะ ยังค้างสายเซน มหายาน แบบหมู่บ้านพลัมของหลวงปู่ติช

ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว ไปเรียนรู้ให้ครบทั้งสามสายเลยท่าจะดี

  และด้วยความบังเอิญ วันที่เธอโทรมาบอกว่าจะมาประชุมที่เชียงใหม่นั้น   รุ่นพี่ที่สนิทกันโทรมาบอกว่า   ตอนนี้หลวงพี่พิทยาอยู่ที่เชียงใหม่ท่านจะอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน   แถมยังเกิดเรื่องบังเอิญว่า หลังจากไปรับรุ่นน้องคนนี้ที่สนามบินเชียงใหม่  ระหว่างทาง โอมแห่งสังฆะพลัมน้อย  โทรมาบอกว่า  ตอนนี้หลวงพี่ท่านอยู่แถวๆประตูเชียงใหม่นี่เอง    สามารถไปพบท่านได้

ข้าพเจ้าเคยพบเจอหลวงพี่พิทยามาก่อนตั้งแต่ครั้งที่ท่านมาเมืองไทยพร้อมกับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์  ที่จำท่านได้เพราะท่านเป็นพระภิกษุชาวไทยรูปเดียว  ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่  นอกเหนือจากหลวงพี่นิรามิสา ซึ่งเป็นภิกษุณีชาวไทย รูปเดียวอีกเช่นกัน   จากนั้นก็ได้พบเจอหลวงพี่อีกสองสามครั้งในงานภาวนาของสังฆะพลัมน้อยที่เชียงใหม่    ครั้งสุดท้ายที่พบเจอท่านคือปีที่แล้ว  หลวงพี่มาเชียงใหม่และมานำภาวนาให้กลุ่มสังฆะพลัมน้อยในช่วงสั้นๆ    จึงรู้สึกคุ้นเคยกับหลวงพี่มากขึ้น จำได้ว่าตอนที่พบเจอกันครั้งนั้นหลวงพี่มีความอ่อนน้อม  มีความ เรียบง่าย และเบิกบานมาก  ข้าพเจ้าว่าท่านมีพื้นที่สำหรับทุกๆคนที่มาพบท่าน  ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ข้าพเจ้ากับน้องสาวที่สนิทกัน  ไปพบท่านแถวประตูเชียงใหม่  ปรากฏว่าท่านนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ  ของคุณโอม แห่งสังฆะพลัมน้อย   และกำลังสนทนาธรรมกันอยู่   สักครู่พี่อ้อมก็ตามมาสมทบ  (  พี่อ้อมเป็น Staff ของหมู่บ้านพลัมเช่นกัน  )  ด้วยความที่ท่านเป็นสมณะนักบวช  เราจึงนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ๆกัน   ส่วนหลวงพี่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง  ด้วยความที่ท่านเเป็นพระเถรวาทแต่เดิมด้วย เราจึงต้องสำรวมระวังกันพอประมาณ   สักพักรุ่นพี่หมอที่ข้าพเจ้ารู้จักก็ตามมาที่ร้านกาแฟ  รุ่นพี่ท่านนี้คือคู่ชีวิตของโอมนั่นเอง และมักจะส่งข่าวเรื่องราว    ต่างๆ ของหมู่บ้านพลัมมาให้ข้าพเจ้าทราบเป็นระยะๆ      ตอนที่หลวงปู่ติชมาเมืองไทย ข้าพเจ้าก็ทราบข่าวจากรุ่นพี่ท่านนี้   และได้มีโอกาสเข้าร่วมงานภาวนากับหลวงปู่ที่เชียงใหม่ในที่สุด

มันออกจะแปลกสักหน่อยในการพบเจอสมณะนักบวชในร้านกาแฟ  ตอนบ่ายแก่ๆ   ถ้าหลวงพี่อยู่ในชุดพระเถรวาท  อาจจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตและกลายเป็นเรื่องประหลาด  และดูแปลกๆในสายตาของคนทั่วๆไป   โดยเฉพาะชาวพุทธตามใบทะเบียนบ้านทั้งหลายและชอบวิพากษ์วิจารณ์และถือกฏระเบียบมากมาย เพียงภายนอก มากกว่าอย่างอื่น    แต่สำหรับนักบวชจากหมู่บ้านพลัมท่านไปในทุกที่และเป็นไปโดยธรรมชาติ

ในการปรากฏตัวในทุกที่ของท่าน    ท่านจึงมีความสำรวมระวังไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าญาติโยมหรือลับหลัง  ท่านไม่ได้ทำท่าเคร่งครัดจนดูเคร่งเครียดเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา   แต่เวลาท่านเดินและกระทำสิ่งใด  ล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยความตระหนักรู้   ท่านอาจจะหัวเราะ พูดจาตลกๆ ในบางครั้ง  แต่ก็เป็นไปด้วยความมีสติ  ท่านไม่ได้ทำเคร่งต่อหน้าเรา แล้วลับหลังเป็นอีกแบบ  แต่ท่านเป็นแบบนั้นทุกเวลา   คือเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาๆ การได้พบหลวงพี่ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้า  และยังสามารถนำพาน้องสาวที่สนิทกันให้มาพบเจอพระสายเซนมหายานได้ในที่สุด   เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าๆ   ในการได้พบท่าน จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก    หลวงพี่มีเรื่องราวมากมายมาแบ่งปัน ท่านเล่าเรื่องราวตอนที่ได้รับตะเกียงธรรมาจารย์จากหลวงปู่ติชให้ฟังด้วย   ระหว่างนั้นโอมก็เชื้อเชิญเราให้ชิมกาแฟ ที่หลวงพี่นำมาฝากจากอิตาลี    ( หลวงพี่ท่านไม่ได้ทานกาแฟกับเราด้วย  แต่ท่านนั่งจิบชาอยู่  )

 มีหลายอย่างที่น่าสนใจ  การพูดคุยกับหลวงพี่พิทยาในร้านกาแฟวันนั้น   ถ้าดูเพียงผิวเผิน แล้วก็หมือนการพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันของท่าน  และของพวกเราด้วย แต่สิ่งที่ท่านเล่าล้วนแล้วแต่มีธรรมะและหลักการปฎิบัติอยู่ในนั้น   รุ่นน้องที่ไปด้วยกันบอกว่า  นี่คือการให้ธรรมเทศนาที่แปลกมาก  เธอบอกว่าเธอดีใจที่ได้ฟังเทศน์จากท่าน   “ไม่รู้ว่าพี่จะเรียกว่าอะไรก็ตาม แต่หนูถือว่านี่คือการฟังเทศน์”    

โดยไม่รู้ตัว เราต่างได้หลักในการปฎิบัติธรรม และการเจริญสติในชีวิตประจำวัน จากสิ่งที่หลวงพี่เล่าให้ฟัง    และได้รับทราบเรื่องราวต่างๆ  เกี่ยวกับชีวิตสมณะนักบวชในหมู่บ้านพลัม  การอยู่ร่วมกันเป็นสังฆะ   ความเป็นอยู่และการงานที่ท่านต้องทำตอนอยู่ที่นั่น

 หลังจากรับฟังและพูดคุยกับหลวงพี่  ท่านแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกเวลานาทีของชีวิตเรา คือการปฎิบัติธรรม    การอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้อย่างแท้จริงกับใครสักคนที่อยู่ตรงหน้าเราขณะนั้นมีความสำคัญ   และไม่มีอะไรจะสำคัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว    ท่านคือลูกศิษย์ของหลวงปู่โดยแท้   .

  

คำสำคัญ (Tags): #เซน มหายาน
หมายเลขบันทึก: 253445เขียนเมื่อ 4 เมษายน 2009 21:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เมื่อไหร่เราจะมีโอกาสดีๆ อย่างนี้อีกก็ไม่รู้ ...

เวลามันผ่านไปแบบติดปีกจริงๆ ค่ะ

น้องวี

อาจจะมีโอกาสดีๆ อีกสักครั้งก็ได้ในอนาคต..

ตลกดีค่ะ... บางครั้งอะไรอะไร ก็ดูแปลกๆ ที่เกิดในช่วงชีวิตของเรานะคะ...

ขอให้วันนั้นลูกๆหนูทั่วราชอาณาจักร ศรีสังวาลย์ และแม่ฮ่องสอน และขอบแดนพม่า-ไทย จงเข้มแข็งและแข็งแรงเต๊อะ สาธุ สาธุ ...

น้องวี

มีเรื่องนอกเหตุเหนือผล และอาจจะดูแปลกๆ แต่โอกาสที่จะได้ฟังธรรมบรรยายจากหลวงพี่อีกครั้ง  คงเป็นปลายเดือนนี้  ที่แม่ฮ่องสอน

แวะมาบอกข่าวค่ะ หลวงพี่พิทยามาเผยแพร่ธรรมะสู่ประชาชนผ่าน  GotoKnow ด้วยค่ะ http://gotoknow.org/blog/awakening 

ขอบคุณค่ะ

จันทวรรณ

เจริญพร โยม Sunny

มาร่วมอนุโมทนากับโยมบนเส้นทางของ "สันติภาพทุกอย่างก้าว" (Peace in every step)   อาตมากับท่านพิทยาเป็นสหายธรรมที่สนิทกันมาก่อน ตอนที่ท่านเรียน ป.โทที่มหิดล และไม่คิดว่า ท่านพิทยาจะเด็ดเดี่ยวโดยการเลือกที่จะข้ามสายจากเถรวาทไปสู่มหายาน

ถึงกระนั้น ในคำว่า "สาย" นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสายใด เราก็ล้วอยู่ใน "สายแห่งธรรม" หรือ "เส้นทางแห่งสติ" เช่นเดียวกัน อาตมาดีใจที่ได้โอกาสเป็นหัวหน้าทีมงานของของฝ่าย Staff ในส่วนของมหาุจุฬาฯ ร่วมต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้ท่านและลูกศิษย์เมื่อ ๔ ปีก่อนในการจัดงานวิสาขบูชาโลก โดยมหาจุฬาฯ ได้นิมนต์ท่านมาเป็นองค์ปาฐก

ก่อนขึ้นเครื่องจากดอนเมืองไปเชียงใหม่ อาตมานั่งเฝ้ามองท่านติช นัช ฮันท์ ธรรมาจารย์ที่อุัดมด้วยธรรม   และสุดท้ายทำให้ได้เรียนรู้ว่า เพราะเหตุใด ท่านจึงนำเสนอแนวคิดว่า "สันติภาพทุกอย่างก้าว" เพราะทุกก้าวที่ท่านได้เดิน หรือเหยียบลงบนพื้นนั้น คือการเดินและย่างบนพื้นฐานแห่งสติ

ดีใจที่ได้เห็น "สหายธรรม" เดินทางเส้นทางแห่งสติ เฉกเช่นเดียวกันท่านติช นัท ฮันท์  และขอให้ท่านได้เจริญในธรรม และงอกงามในธรรมแห่งสติ  และขอให้ทุกท่านที่เข้าไปเกี่ยวบนเส้นทางธรรม ได้งอกงามในธรรม และเจริญในสติในทุกห้วงแห่งการคิด พูด และกระทำ

สุดท้ายแล้ว เราจะพบว่า ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ได้เดินบนเส้นทางแห่งธรรมนั้น คือบทสรุปที่ว่า "ความสุขที่ยิ่งใหญ่คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง" ซึ่งเป็นลมหายใจแห่งสติที่เต็มไปด้วยการรู้ ตื่น และเบิกบาน

 

น่ายินดีด้วยนะครับที่ ใช้ส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต หาเวลาว่างขวนขวายหาความสงบให้กับตัวเอง ด้วยการฝึกการอยู่กับตัวเอง

ไม่แบบนี้ ก็แบบนั้น ตามอุปนิสัยของแต่ละคน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท