• ความประหยัดมัธยัสถ์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่พอเพียง
• ต้องประหยัดแล้วเกิดความสุขจึงจะถูกต้อง
ดังนั้นจึงต้องมีสันโดษ ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่มาประกอบด้วย
• สมัยผมอยู่ที่ มอ. หาดใหญ่ มีแต่เงินเดือนราชการ
ก็บอกตัวเองว่าเราโชคดีกว่าคนอื่นที่ได้เงินเดือนสองเท่า
เพราะภรรยาก็เงินเดือนเกือบเท่ากัน
แถมมีบ้านหลวงให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า
บ้านหลังคารั่วยังมีช่างมาซ่อมให้ฟรี
ใหม่ค่าไฟฟ้าก็ฟรี
ส่วนค่าน้ำฟรีมาตลอด
แถมค่าน้ำมันรถก็แทบไม่เสียเพราะที่ทำงานห่างไม่ถึงกิโลเมตร
ลูกไปโรงเรียนเขาก็มีรถไปรับส่ง
คิดแล้วก็บอกตัวเองว่าจริงแล้วเราสองคนผัวเมียเท่ากับมีรายได้กว่าสองเท่าของเงินเดือน
ไปบอกใครก็ไม่มีใครเห็นด้วย
เพราะเขาต้องการใช้ตัวเลขเงินเดือนที่ต่ำเป็นหลักฐานสนับสนุนการบ่นแสดงความไม่พอใจต่อการเป็นข้าราชการที่นั่น
ผมคิดในใจว่าเมื่อคุณไม่พอใจแล้วจะทนอยู่ไปทำไม แต่ไม่กล้าพูด
• เราสองคนสามีภรรยามาจากครอบครัวคนชั้นกลาง
ฐานะปานกลาง
ได้รับพรสวรรค์มาให้สมองดี
ลูกเกิดมาก็สมองดี เรียนหนังสือเก่ง
สอบเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดได้
ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพง
การลงทุนด้านการศึกษาของลูกจึงไม่เป็นภาระหนัก
คุยกับพนักงานขับรถ คนงาน ลูกๆ ของเขาสมองปานกลาง
สอบเข้าเรียนอาชีวะเอกชน ค่าเล่าเรียนแพงกว่าของลูกเราหลายเท่า
• สมัย ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ผมถาม อ. หมอสุธรรม ปิ่นเจริญ
ที่คณะแพทย์ มอ. (เป็นสูติแพทย์)
ว่าเงินเดือนเท่าไร อ. หมอสุธรรมตอบว่า
หมื่นแปด
ผมบอกว่าถ้าอย่างนั้นสุธรรมก็ทำบุญให้สังคมเดือนละแปดหมื่นสอง
อ. หมอสุธรรมงง
ผมอธิบายว่าลูกศิษย์เราที่จบบอร์ดไปทำงานเอกชนได้เงินเดือนแปดหมื่น
ดังนั้นขนาดสุธรรมต้องได้หนึ่งแสน
แต่ราชการให้แค่หมื่นแปด
เราจึงถือว่าเราทำบุญให้สังคมเดือนละแปดหมื่นสอง
ไม่มีใครคิดอย่างนี้แต่เราคิดเองก็ไม่ผิดอะไร อ.
หมอสุธรรมหัวเราะและบอกว่า
“คิดอย่างนี้ทำให้สบายใจดีนะครับอาจารย์”
นี่คือวิธีคิดของผมตลอดมา แต่ไม่ได้บอกใคร
• ผมคิดว่าเราเกิดมาโชคดี
ร่างกายแข็งแรง
ครอบครัวก็แข็งแรง
ญาติพี่น้องเป็นคนดี สมองดี
ได้เรียนมาก ได้ครอบครัวดี
มีลูกก็เป็นคนดี
จึงควรที่จะทำงานและดำรงชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อบ้านเมืองให้มากที่สุด
สังคมให้เรามากมายอยู่แล้ว เราจึงไม่ควรเรียกร้องอะไรมากมายนัก
วิจารณ์ พานิช
๑๖ เมย. ๔๙