นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๒๗)
สสส. กับการจัดการความรู้
“การจัดการความรู้ในโลกธุรกิจสร้างผลประโยชน์มหาศาล ทำไมเราจึงไม่ประยุกต์วิธีการนี้มาใช้ในงานพัฒนาสังคม เพราะการจัดการที่ดีสามารถทำให้สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้กลับเป็นไปได้ ใช้กำลังคนน้อยแต่สามารถทำงานใหญ่สำเร็จ ” นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
ภาค 1
การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาสังคม
“การจัดการความรู้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะสกัดเอาความรู้ที่ไม่ได้มีเฉพาะผลวิจัยนำมาใช้ประโยชน์
เพราะ ความรู้บางอย่างอยู่กับการทำงานทุกเมื่อเชื่อวัน
ว่าไปแล้วแม้แต่กรณีนักวิจัยเอง
ความรู้ที่มิได้ตีพิมพ์ยังมีปริมาณมากกว่าความรู้ที่มาตีพิมพ์เป็นผลงานวิจัยเสียอีก
ความรู้จากนักปฏิบัติยังมีอีกมหาศาล
ถ้าทำสำเร็จจะเกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มากๆ สสส.จึงสนับสนุนให้เกิด
สคส.ขึ้นมา” นพ.สุภกร บัวสาย
ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
โจทย์ของสสส.คือจะนำวิธีการจัดการความรู้ในภาคธุรกิจมาใช้ในภาคสังคมได้เพียงไรและอย่างไร
เพราะเราไม่สามารถยกเครื่องมือ
วิทยาการทั้งหมดในภาคธุรกิจมาใช้โดยสำเร็จรูปได้ นี่คือ
จุดเริ่มต้นของการที่สสส.สนุบสนุนให้เกิดสถาบันการจัดการความรู้เพื่อสังคมหรือ
สคส.ขึ้น
“เราเชื่อมั่นว่าทำได้
และถ้าทำได้จริงก็จะเดินหน้าแบบก้าวกระโดด
แต่สิ่งสำคัญคือเรายังไม่รู้ว่าจะใช้ความรู้อย่างไร
จึงจำเป็นจะต้องสร้างความรู้ตรงนี้ขึ้นมา
และสร้างเครื่องมือเพื่อนำความรู้เข้าไปจัดการงานพัฒนาสังคม “
นพ.สุภกร กล่าว
โจทย์ท้าทายที่ต้องอาศัยมืออาชีพ
“คนที่จะแก้โจทย์นี้ได้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ จึงไปเชิญ
ศ.วิจารณ์ พานิช ซึ่งท่านให้ความสนใจมาก
ที่สำคัญประวัติของท่านไม่ธรรมดา ระดับที่ 1 ของประเทศ
ระดับอธิการบดีมหาวิทยาลัย ระดับศาสตราจารย์
อดีตผู้อำนวยการกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)ซึ่งเป็นหน่วยงานสร้างความรู้ที่ดีที่สุดของประเทศไทย
จึงนำมาสู่การลงหลักปักฐานของสถาบันการจัดการความรู้หรือสคส.ขึ้นในประเทศไทย”
ความคาดหวังต่อ สคส.
สิ่งที่เราคาดหวังจากสคส.คือ การจัดการความรู้ในบริบททางสังคม
ที่จะเริ่มต้นได้อย่างเป็นระบบซึ่งหากสำเร็จใช้ได้จริง
จะส่งผลให้การพัฒนาสุขภาพผ่านกระบวนการทางสังคมอย่างก้าวกระโดดทีเดียว
“ผมเชื่อว่า ขณะนี้
ในปีที่สอง สคส.มีองค์ความรู้อยู่บ้างแล้ว ถึงเวลาของการเริ่มทดลองทำ
เพื่อพิสูจน์ว่ามันได้ผลเพียงไร สคส.ต้องสร้างคน
สร้างเครือข่ายที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้และทำเป็นด้วยด้วย
เพราะถ้ารู้ ถ้าเข้าใจกันแต่ภายใน สคส. ก็ไม่สามารถขยายผล
ไม่สามารถก้าวกระโดดไปสู่วงการสร้างเสริมสุขภาพที่กว้างขึ้นได้”
ล้อมกรอบ
กว่า 20 ปีของขบวนการบุหรี่ คือ
บทพิสูจน์ของมืออาชีพในการจัดการความรู้
“เรื่องบุหรี่ที่ต่อสู้กันมานาน ถ้าพึ่งพิงเพียงงานวิจัยอย่างเดียวก็ไม่ทันการ และนักวิจัยมักไม่รู้ว่าจะเอาความรู้ผลักดันไปสู่ปฏิบัติได้อย่างไร แต่ที่ผ่านมา เราสามารถเรียนรู้ ถ่ายทอดกันระหว่างประเทศได้ เช่น ความรู้เรื่องภาษีบุหรี่ในประเทศต่างๆ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยทั้งงานวิจัย และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ ที่ทำงานด้านนี้มายาวนานเช่น อาจารย์ประกิต สรุปชุดความรู้ไว้ว่าว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำแล้วบริษัทบุหรี่ดิ้นรนต่อต้านนักต้องเป็นมาตรการที่ได้ผลแน่นอน แต่ถ้าทำอะไรแล้วบริษัทบุหรี่เฉยๆ มาตรการนั้นไม่ได้ผลแน่นอน ยิ่งทำอะไรแล้วบริษัทบุหรี่เข้ามาส่งเสริม เจ้ากี้เจ้าการจะเข้ามาช่วย รับรองได้ว่าได้ผลตรงกันข้าม คนจะสูบบุหรี่มากขึ้น ความรู้แบบนี้ไม่ได้มาจากการวิจัย แต่ได้มาจากคนที่ทำงานมา 20 ปี ลงลึก และตกผลึกความรู้ออกมาได้ ดังนั้น การจัดการความรู้คือการที่เราสามารถย่นระยะเวลาของการเรียนรู้ โดยสามารถดึงความรู้จากผู้ปฏิบัติขึ้นมาใช้ได้ แต่ต้องเป็นการดึงขึ้นใช้อย่างเป็นระบบ สมเหตุสมผล ไม่เช่นนั้นจะเป็นการดึงความเชื่อ ความเห็น นี่คือตัวอย่างที่สคส.จำเป็นต้องไปค้นหาวิธีการออกมาในกรณีอื่นๆ” นพ.สุภกร กล่าว
ล้อมกรอบ
“คำว่าการจัดการความรู้ หมายถึง เทคนิค ศิลปะ
วิธีการที่จะโน้มนำให้คนสามารถดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ออกมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ดีขึ้น
กระบวนการจัดการความรู้จะต้องทำให้คนสนุกกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วย”
อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
ที่ปรึกษาสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะในพื้นที่และชุมชน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
ภาค 2
จากแนวคิดสู่ภาคปฏิบัติ
(การจัดการความรู้ของสสส.)
“วงประชุมของสสส.และภาคีคือเวทีแลกเปลี่ยนที่มีชีวิต
คนเหล่านี้ไม่ได้ต่อเชื่อมด้วยเป้าหมายทางธุรกิจหรือผลประโยชน์จากรัฐเลย
ทุกคนมาเพราะมีความมุ่งหวัง อยากเห็นสิ่งที่ดีๆ ในสังคม ดังนั้น
การที่เราจะเข้าไปทำให้วงแลกเปลี่ยนจุดประกายความเคลื่อนไหวใดใดได้ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง”
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต
รองผู้จัดการสสส.กล่าวได้ว่าภารกิจหลักของ สสส.
คือการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเวทีจัดการความรู้เพื่อขับเคลื่อนสังคมก็ว่าได้
ตั้งแต่การจัดวงประชุมขนาดย่อมตั้งแต่ 2 คนถึง วงประชุมใหญ่
ที่เชื่อมร้อยภาคีทั้งในและต่างประเทศ
“สสส.เป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดให้คนที่มีหัวใจเดียวกัน
มาเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน
สสส.มีหน้าที่ทำให้คนกลุ่มนี้เกิดความรู้สึกร่วม สกัดความคิด
ความรู้ออกมาเพื่อขับเคลื่อนสังคมได้
แต่สสส.ไม่สามารถสร้างขบวนขึ้นมาเองได้
ขบวนการเหล่านี้เกิดเองตามธรรมชาติ
สสส.เพียงเชื่อมร้อยเข้าด้วยกันให้มีพลังมากขึ้น
เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าเป็นคนที่พบ แล้วเข้าใจมัน ”
วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีชีวิตได้อย่างไร?
ในแต่ละกลุ่มมีวิธีการไม่เหมือนกัน
ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่สิ่งที่เราทำคือ
เข้าไปสัมผัสถึงเป้าหมายของวงได้
ทำให้เขายอมรับว่าเราเป็นผู้ร่วมกิจกรรม เป็นทีมเดียวกับเขา
ไม่ใช่เล่นบทผู้ให้เงิน
ที่สำคัญต้องพยายามจัดองค์ประกอบในวงประชุมนั้นให้เหมาะสม
ควรมีนักจัดการที่ดีอยู่ในนั้นด้วย
สสส.มีหน้าที่เติมในจังหวะที่จำเป็น วงถึงจะเคลื่อนเองได้
จัดการตัวเองได้ เช่น วงออกกำลังกาย หรือ
การเชื่อมร้อยงานบุหรี่กับงานคุ้มครองผู้บริโภค
“แต่ละขบวนนั้นสวยงาม มีความเฉพาะตัว มีผู้เล่นไม่เหมือนกัน
ถึงจะมีลักษณะการเติบโตในแบบเดียวกันคือสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
เคลื่อนสังคมแบบเดียวกัน แต่มีวิธีการของแต่ละกลุ่มที่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้นสสส.ต้องอาศัยความอดทนสูงมาก
เพราะเราไม่สามารถที่จะเขียนหนังสือแล้วบอกให้ทุกคนทำแบบนี้
มันเป็นไปไม่ได้หรอก
สิ่งที่ต้องทำคือให้ขบวนเหล่านั้นมีการเรียนรู้กัน
”ศิลปะในการสร้างชีวิตให้กับวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้อีกข้อคือการไม่มีโครงสร้างอำนาจ
หรือโครงสร้างทางธุรกิจ แต่เชื่อมกันด้วยใจต่อใจ
นั่นเอง
“นอกจากการจัดการความรู้แล้วต้องใช้หัวใจด้วย
เพราะสสส.ไม่มีโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์
จุดที่เป็นพลังของเราคืองานที่เราและภาคีร่วมกันทำเป็นคุณค่าของสังคม
และทุกคนทำงานด้วยใจ เงินเป็นเพียงน้ำมันหล่อลื่น
ตรงนี้เป็นศิลปะที่ทำให้วงของเราเป็นวงที่มีชีวิต บางครั้งผมไปเข้าบางวงผมรู้สึกเลยว่าไม่ใช่
ผมเห็นความแตกต่างของวงที่มันเป็นโครงสร้าง มีกรรมการอำนวยการ
มีคนมาทำงานด้วยกัน แต่ไม่มีหัวใจ
ความกระชุ่มกระชวยนั้นต่างกันมาก ตัวนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไป
“ “การทำงานที่ผ่านมาเราพยายามใช้องค์ความรู้
วิชาการ รวมทั้งอาศัยประสบการณ์ของผู้ทรงคุณวุฒิ
และเครือข่ายภาคี
ร่วมกันสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อเป็นฐานในการทำงานแทบทุกเรื่องเพื่อจะอธิบายว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรณรงค์ หรือผลักนโยบายใดก็ตาม ”
นพ.สุปรีดา
อดุลยานนท์
ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงหลัก
เล่าถึงกระบวนการจัดการความรู้ที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพในงานควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ซึ่งมีภาคีภาคประชาชน และ ภาควิชาการร่วมอยู่ในขบวนการนี้มากมาย
เอาชนะศึกน้ำเมาด้วยกระบวนการจัดการความรู้
1.รวบรวม
เลือก
และยิงข้อมูลช็อกสังคม
นพ.สุปรีดา ชี้ว่า ก่อนปี 2546
ประเทศไทยไม่เคยมีเจ้าภาพในเรื่องการแก้ไขปัญหาสุรามาก่อน
ในส่วนของภาครัฐเองก็ไม่มีเจ้าภาพเป็นตัวเป็นตน
กฎหมายที่มีอยู่ก็กระจัดกระจาย
ฝ่ายประชาชนเองก็ไม่มีใครเป็นโต้โผเรื่องขบวนการ พอ สสส.
เริ่มเคลื่อนไหว สิ่งแรกที่ทำคือ
การศึกษาความรู้หลายรูปแบบ แล้วพบว่าเรามีข้อมูลย่อยอยู่มาก
ทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล ตั้งแต่ ข้อมูลเชิงวิชาการ
และข้อมูลเชิงสถานการณ์ ช่วงนั้น
นพ.ยงยุทธ ขจรธรรม ซึ่งศึกษาเรื่องสุรามานาน
มีข้อมูลจำนวนมากก็นำข้อมูลเหล่านี้มาจัดประเภท
วางแผนว่าจะยิงเนื้อหาเหล่านี้ไปสู่สังคมเพื่อสร้างกระแสได้อย่างไร
จึงนำมาสู่ประโยคเด็ดที่ว่า“คนไทยดื่มสุรามากเป็นอันดับ 5 ของโลก”
2.สร้างเครือข่ายมืออาชีพ
ต้องวิเคราะห์ต้นทุนทางสังคมที่มีเพราะเราไม่มีเจ้าภาพ
ดังนั้น ต้องสร้างเจ้าภาพ บางทีก็ต้องเช็คสต๊อก
ถึงแม้ยังไม่มีเจ้าภาพชัดเจนแต่ต้องประเมินว่ามีใคร
องค์กรไหนที่พอจะมีศักยภาพเป็นเจ้าภาพในอนาคตได้
ใครที่พอจะชวนมาทำงานต่อยอด ร่วมมือกันอีกยาวนานได้
บางทีเราก็เอาฐานหนึ่งไปเชื่อมกับอีกฐานหนึ่ง
“กลไกการพัฒนาขบวนการของสสส.นี้
บางทีก็ต้องนั่งล้อมวงและยิงเนื้อหา
ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์มันแย่ขนาดนี้แล้ว
แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เอาความคิดเห็นอย่างเดียว
เราต้องเอาฐานความรู้เข้าไปวิเคราะห์กัน
แล้วก็เริ่มเคลื่อนไหว พองานเคลื่อนไป ก็มีพัฒนาการ
ในที่สุดคนที่ไม่ใช่ก็จะหลุดไป
คนที่ใช่ก็เริ่มปักหลักมากขึ้น
และเป็นการปักหลักอย่างมืออาชีพด้วย นี่คือ
ขบวนการกว่าจะมาเป็นเครือข่ายองค์กรงดเหล้า” นพ.สุปรีดา ระบุ
3.ถอดบทเรียนจากการต่อสู้เรื่องบุหรี่
ตัวอย่างของบทเรียนจากบุหรี่ที่ถูกนำมาใช้ในเรื่องแอลกอฮอล์ เช่น
การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ถูกพิสูจน์มาแล้วว่า ถ้ารณรงค์กับตัวผู้สูบ
ว่าบุหรี่อันตราย สูบแล้วจะเป็นโรคนั้น โรคนี้ ไม่ได้ผล
ต้องพูดถึงสิทธิของผู้ไม่สูบคือ
พวกเขาต้องการหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไป
จึงเป็นที่มาของเขตปลอดบุหรี่ บทเรียนนี้ถูกนำมาใช้กับแอลกฮอล์
ซึ่งแอลกอฮอล์เองก็ไม่หยุดแค่ว่าเหล้าไม่ดีต่อผู้ดื่ม
เหล้านั้นเริ่มมองไปสู่ผลกระทบต่อสังคม ซึ่งงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า
ถ้าคิดเป็นมูลค่าเงิน
ผลกระทบต่อสังคมของเหล้าสูงกว่าผลกระทบของบุหรี่ ดังนั้น
ประเด็นผลกระทบจากเหล้าไม่ว่าจะเป็น อุบัติภัย ความรุนแรง
อาชญากรรม จึงถูกหยิบยกขึ้นบ่อย บ่อยกว่าเรื่องตับแข็งเสียอีก
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการจัดการความรู้
4.ต้องไปให้ถึงสถาบันความรู้
ถึงจะสู้กับนายทุนเงินหนาได้
เมื่อรู้ว่าฐานความรู้คือสิ่งสำคัญ
เราก็พยายามที่จะจัดตั้งเชิงสถาบัน
จึงเป็นที่มาของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)
เพราะสถาบันนั้นมันมีโอกาสที่จะสะสมความรู้มากขึ้นมากกว่าที่จะเป็นโครงการวิจัย
ก-ข หรือ การต่อสู้ในนามของนักวิชาการคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยการประชุมก็เป็นสิ่งสำคัญเราเพิ่งรื้อฟื้นให้เกิดการประชุมวิชาการทั้งเรื่องสุราและบุหรี่ระดับชาติขึ้นและสัญญาว่าเราจะจัดทุกปี
เพื่อให้นักวิจัยที่ได้รับทุนหรือไปเคลื่อนไหวอะไรมาตลอดปี
มาถอดบทเรียนโดยจะมีเวทีให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้
นับว่าเป็นเวทีที่จัดขึ้นให้คนทำงานมาเจอกัน
“ยุทธศาสตร์สสส.นั้น ไม่ใช่แก้ปัญหาเรื่องหนึ่งด้วย 1 โปรเจค
หรือ 5 โปรเจคจะแก้ได้
แต่เนื้อแท้คือขบวนการที่ต้องมีคนเกาะติด เป็นเจ้าภาพ
มีคนที่เดินเรื่องอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน การสร้างขบวน
สร้างต้นทุนทางสังคมเหล่านี้
ต้องมาล้อมวงกันจัดการอย่างเป็นหลักเป็นฐาน โดยมี
คบอช.เป็นแกนหลักด้านนโยบาย
ศูนย์วิชาการปัญหาสุราเป็นแกนหลักทางวิชาการ
เครือข่ายองค์กรงดเหล้าเป็นแกนประสานหลักทางสังคม มาจัด 3
วงเชื่อมกันหลายรูปแบบ
กระบวนการที่เกิดคือลักษณะของสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา คือ
การจัดการความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ”
การจัดการความรู้กับการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร
ระหว่างการสร้างกระบวนการเหล่านี้
ต้องพัฒนาคนในกระบวนการร่วมไปด้วย จากมือสมัครเล่น
เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาคือมืออาชีพ อยู่ในจิตวิญญาณ ดังนั้น
การพัฒนาสมรรถนะบุคลากรจึงเป็นสิ่งสำคัญ
และต้องมีมุมของการจัดการความรู้เข้ามาช่วยสนับสนุนด้วย
กรณีสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.)
ซึ่งมีฐานคนจากกลุ่มสันติอโศก กลุ่มวัด ก็ไม่ได้รอบรู้ทุกด้าน เช่น
แง่บริหารจัดการ แต่คนกลุ่มนี้มีใจในการทำงานเต็มที่
ความซื่อสัตย์ 100% ดังนั้นต้องเสริมสิ่งที่ขาด
ซึ่งนอกจากเรียนรู้จากกระบวนการทำงาน
ผลลัพธ์ของการทำงานแล้ว บางครั้งก็ต้องไปดูงาน หรือ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายที่เข้มแข็งในเรื่องการจัดการความรู้
เช่น
มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ขณะเดียวกันเรื่องของสื่อ
สคล.ก็พัฒนาร่วมกับสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม
และทีมประชาสัมพันธ์สนับสนุนซึ่งกันและกัน
ส่งผลให้ผู้ประสานมีความเชี่ยวชาญ รอบรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุด
สคล.ได้วางแผนที่จะพัฒนาสมรรถนะร่วมกับภาคีที่ประสานงานกันอยู่
สะสมวิทยากร สื่อพื้นฐาน
จัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ซึ่งไม่ใช่เรื่องวันเวย์ที่นำคนเก่งมาสอน แต่แลกเปลี่ยนมุมมอง
และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
ขบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จึงถูกคาดหวังเข้ามาสนับสนุนในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามไม่ว่าสสส.จะพยายามออกแรง/ลงทุนเคลื่อนสังคมเพียงใด
หากนิ่งดูดายที่จะจัดการความรู้ภายในองค์กร
ก็พาแต่จะบั่นทอนผลสัมฤทธิ์ของงานและร่วงโรยถดถอยในระยะยาว
“นอกจากสรุปบทเรียนจากการทำงานเพื่อปรับปรุง โดยมีโครงสร้างของ
คณะกรรมการประเมินผล ผู้บริหารโครงการแล้ว
การประชุมของแต่ละสำนัก(หน่วยบริหารภายใน)นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
เล่าสู่กันฟังเรื่องงานที่รับผิดชอบ ปัญหา อุปสรรคที่เผชิญ
การประชุมร่วมกับภาคีครั้งนั้นไม่ดี ล้มเหลวเพราะเหตุใด
ประสบความสำเร็จเพราะเหตุใด นี่เป็นกระบวนการจัดการความรู้
ภายในองค์กรที่ใครจะนิ่งดูดายไม่ได้เลย”
นพ.สุปรีดา อดุลยานนท์
ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงหลัก
“เราต้องสร้างวัฒนธรรมภายในองค์กรที่เอื้อให้เกิดการจัดการความรู้
นั่นคือ ไม่ทำงานแบบตั้งรับ แต่ควบคุมสถานการณ์
คิดค้น ริเริ่มสร้างสรรค์ สำนึกว่างานที่ทำอยู่ทุกวันนี้
เราควบคุม พัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยมือของเรา
ก็จะเกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้
แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นนั่นคือต้องทำงานด้วยอิทธิบาทสี่( ฉันทะ วิริยะ
จิตตะ วิมังสา ” นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสสส.
สวัสดีครับอาจารย์
ผมสนใจเรื่องถนนปลอดภัยครับ แต่รู้สึกว่าหลายกิจกรรมจัดเฉพาะในกรุงเทพฯ ทำให้คนต่างจังหวัด ไปร่วมด้วยลำบาก น่าจะมีการกระจายจัดกิจกรรม ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ในต่างจังหวัดบ้าง อีกอย่างคือบางทีค่าลงทะเบียนก็แพงครับ เช่น กิจกรรมชุมชนถนนปลอดภัย (ที่จะจัดที่เมืองทองธานี ในเดือนมิถุนายน) ทำให้ผู้สนใจที่เป็นชาวบ้าน(ประชาชนธรรมดา ที่ไม่มีต้นสังกัดให้เบิกค่าใช้จ่าย) เข้าร่วมยากไปใหญ่ ไหนจะค่าเดินทาง ไหนจะค่าที่พัก ไหนจะค่าลงทะเบียน จึงรู้สึกว่า บางงานจัดเพื่อบุคคลที่มีสังกัดเท่านั้น
มาดูถึงความเป็นจริง
ไม่อัพเดทข้อมูลเลย เว็บบอร์ดก็ไม่มีใครอ่าน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสงขลาถึงติดอันดับต้นๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรแทบทุกปี
อีกตัวอย่างคือ หน้าหน่วยงาน ของกรมป้องกันภัยที่หาดใหญ่เอง เป็นถนนสี่ช่องจราจรสาย 4135 (หาดใหญ่-สนามบิน) แต่ไม่มีเกาะกลาง ข้างๆ ปภ. เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนจำนวนมากต้องข้ามถนนสายนี้ไปมาทั้งเช้าและเย็น ซึ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเป็นอย่างมากเพราะ รถบนถนนใช้ความเร็วสูงมาก แต่ไม่มีหน่วยงานใดเลย ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ เช่น จัดทำเกาะกลางสำหรับให้นักเรียนข้ามถนนได้หลบรถ (Pedestrian Refuge) และจัดทำสัญญาณไฟสำหรับการข้ามถนนแบกดปุ่ม เช่น ทางข้ามแบบ Pelican หรือ Puffin
สนข มีมาตรฐานเกี่ยวกับทางเท้า และทางข้าม แต่ก็ไม่ทราบว่ามีการเผยแพร่บ้างหรือไม่ มีใครเคยเอาไปใช้กันบ้างหรือไม่
ส่วนในเมืองหาดใหญ่ มีคนเดินเท้าโดนรถชนตาย ทุกวันๆ ละประมาณ 2 คน เป็นอย่างนี้มา 5 ปีแล้ว ทางเท้าก็มีบ้างไม่มีบ้าง ทางเท้าที่มีอยู่ก็ปล่อยให้มีการขายของ ส่วนการข้ามถนนก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะปล่อยให้รถเลี้ยวผ่านตลอด แทนที่จะต้องหยุดรอสัญญาณไฟ ค่อยเลี้ยวตอนไปเขียว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีการจัดเฟสสัญญาณไฟสำหรับการข้ามถนนเลย ปุ่มกดสัญญาณที่มีอยู่หลายจุดก็ใช้ไม่ได้เลยสักจุด
ตราบใดที่ผู้มีอำนาจ และหน้าที่ยังคงละเลยที่จะใส่ใจสังคม แม้กระทั่งหน้าบ้านตัวเอง ก็ยากที่ถนนจะปลอดภัยได้ สงขลาก็จะติดอันดับอยู่ตลอดไป
กิจกรรมควรให้โอกาส คนธรรมดาเข้าร่วมได้บ้าง เช่น ไม่เก็บค่าลงทะเบียน หรือมาจัดตามหัวเมืองต่างจังหวัดบ้าง ถ้าให้เฉพาะเจ้าหน้าที่เข้าร่วม เขาก็แค่ทำตาม"หน้าที่" นายสั่งก็ทำ(รณรงค์) นายไม่สั่งก็ไม่ทำ ประชุมเสร็จก็เก็บเข้าแฟ้มเข้าตู้ (Plan-นิ่ง)
ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม เช่น Road Watch Program ให้ประชาชนได้สอดส่องว่าถนน มีข้อบกพร่อง หรือมีอันตรายตรงไหนบ้าง
น่าจะมี Road Safety Forum แห่งชาติ ให้ประชาชนที่สนใจได้แลกเปลี่ยนไอเดียกันบ้าง เปิดกว้างทางอินเตอร์เน็ต มี Video Conference กันบ้าง ไม่ใช่ประชุมกันเฉพาะคณะทำงาน ไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น คือสงขลาติดอันดับแทบทุกปี