จากหนังสือ..."โลกในใจของบุญถึง" ของ ธเนศ ขำเกิด และบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ 2547
นับตั้งแต่ผมจำความได้
เกือบทุกวันพอแดดร่มลมตก ทุกคนกินข้าวมื้อเย็นเสร็จก็จะ
พากันมานั่งรับลมเย็นที่นอกชาน
มีอะไรก็จะนำมาเล่าสู่กันฟัง บางครั้งก็มีเพื่อนบ้านใกล้เคียง
มาร่วมวงเสวนาด้วย
ที่มาบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นป้าม้วนกับลุงพันธ์บางวันแกก็พาลูกหลานมาเล่นกับพวกเรา
พอเริ่มขมุกขมัวเพื่อนบ้านกลับไปหมดแล้ว
แม่จะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดมาตั้งที่นอกชาน
ปะชุนผ้าให้พ่อและลูกๆหรือหางานอื่นทำไม่ให้มือว่าง
ปากก็พร่ำสอนหรือบ่นลูกไปตามเรื่องตามราว
ได้ทุกวัน พวกเราก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างโดยไม่ใส่ใจเพราะความชินหู
ถือเสียว่าเป็นดนตรีขับกล่อมยามโพล้เพล้
ส่วนพ่อก็นอนเอ้เตเอกเขนกพิงหมอนขวานที่ริมนอกชานมุมหนึ่งอย่างสบายอารมณ์
พ่อชอบนุ่งกางเกงขาก๊วยไม่สวมเสื้อ ปล่อยชายขอบเอวหลวมๆจนเห็นพุงพลุ้ย
พ่อมักจะอารมณ์ดี หัวเราะร่วน ชวนแม่และพวกเราคุยโน่นคุยนี่
และท้ายสุดก็มีสิ่งล่อคือนิทานและเรื่องสนุก ๆ มาเล่า ให้พวกเราฟัง
โดยพวกเราต้องบีบนวดให้ท่านเป็นการตอบแทน
ผมกับพี่สายใจมักถูกเรียกใช้ให้ไป
ประจำตำแหน่งที่ขาพ่อคนละข้างซึ่งเหยียดยาวให้พวกเราบีบนวดกันเป็นประจำ
พอพี่สายใจเริ่มโตเป็นสาว น้องแสงดาวก็ต้องมารับหน้าที่แทน คู่กับผม
ส่วนพี่คนอื่นๆและน้องคนเล็กก็สบายไป
นั่งฟังนิทานโดยไม่ต้องทำอะไรเพราะถือว่าโตและเล็กเกินไปที่จะมารับหน้าที่นี้ลูกคนกลางๆอย่างผมก็เลยหนีไม่รอด
แต่ผมก็รู้สึกเต็มใจและไม่เคยเบื่อหน้าที่การบีบนวดให้พ่อสักนิด
เพราะการได้ฟังนิทานสนุก ๆ
อย่างใกล้ชิดนับเป็นรางวัลชีวิตที่คุ้มแล้ว
ขยี้ขยำไปตามเรื่องตามราวตามประสาเด็กพอเมื่อย
ก็หยุดอ้าปากหวอฟังพ่อเล่านิทาน
พ่อเองก็ไม่ว่าอะไรท่านคงให้อภัยที่เรายังเด็ก
และพ่อก็คงเล่าจนเพลินติดลมไปเหมือนกัน
พอคิดขึ้นได้เห็นพวกเราหยุดบีบนวดนานเกินไปพ่อก็เขย่าขาเตือน
พวกเราจึงตั้งท่าเขย่งทำท่านวดอย่างขมีขมัน
พอนวดไปไม่นานก็เข้าอีหรอบเดิมอีก
พ่อมีความฉลาดอย่างลึกล้ำในการเข้าใจและหยั่งถึงธรรมชาติความสนใจของลูก
ๆ ทุกคน
โดยท่านมักประเดิมเล่าเรื่องที่พวกเราชอบตรงกันเป็นอันดับแรกก่อนคือเรื่องผี
พอเห็นพวกเราติดกันงอมแงมท่านก็จะขยับไปเล่าเรื่องที่มีสาระได้แก่นิทานพื้นบ้าน
ตามด้วยวรรณคดีไทย แล้วแถมท้ายด้วยการอบรมสั่งสอน
โดยอาศัยบทกลอนหรือคติ
คำคมที่แฝงไว้ในแต่ละเรื่องมาคอยเตือนใจพวกเราเสมอ
เรื่องผีที่พ่อเล่าให้พวกเราฟังมีหลายเรื่อง เช่น ผีที่วัดมะขามเฒ่า
ผีโป่ง ผีกระสือ ผีเปรต ผีที่ป่าช้าในหมู่บ้าน ผีแม่นากพระโขนง
เป็นต้น พ่อมีท่วงทำนองการเล่าประกอบท่าทางที่ชวนขนลุก
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่พวกเราก็เชื่อสนิท
กลัวก็กลัวแต่ก็อยากฟังพี่สมหวังอีกคนรู้ว่าน้อง ๆ กลัวผี
ชอบย่องลงไปใต้ถุนนอกชาน
ระหว่างที่พ่อกำลังเล่าอย่างออกรสชาติ
ก็จะเอาไม้แหย่ขาพวกเราจนร้องลั่น
พวกเราจึงต้องระมัดระวังไม่ยอมนั่งตรงร่องไม้กระดาน
มีเรื่องผีที่ต้นมะขามซึ่งอยู่ริมทางเดินที่พวกเราเดินเข้าเดินออกจากบ้านไปวัด
หรือไปตลาดกันเป็นประจำ พ่อเล่าว่าเวลาเดินกลับบ้านตอนค่ำคืนพ่อเคยเห็นผีผู้ชายห้อยหัวอยู่บนต้นมะขาม
แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกพ่อ
พ่อต้องรีบจ้ำอ้าวจนตัวเบาหวิวกลับมาบ้านแทบไม่ทัน และทราบว่า
ที่ต้นมะขามนั้นเคยมีคนถูกฆ่าตายดวงวิญญาณคงไม่ไปไหนคอยหลอกหลอนคนที่เดินผ่านไปมา
การเล่าเรื่องผีครั้งนั้นของพ่อคงเป็นความผิดผลาดอย่างมหันต์ที่ส่งผลตามมาก็คือ
เวลาพ่อใช้พวกเราไปซื้อของที่ตลาดพวกเราก็จะอิดออดและอ้างสาเหตุเรื่องนี้ไม่ยอมไปเสมอ
ตอนหลังพ่อพยายามลบล้างสิ่งที่เคยเล่าว่าไม่เป็นความจริง
แต่พวกเราก็ไม่เชื่อ เพราะฝังใจกลัวเสียแล้ว
แม้เป็นเวลากลางวัน
เวลาผมเดินผ่านต้นมะขามต้นนี้ทีไร
ผมต้องเดินให้ห่างยอมเดินอ้อมไปให้ไกล
เพราะทำใจไม่ได้ที่จะให้หายกลัว
พ่อเล่าเรื่องผีเปรตให้พวกเราฟัง
โดยบอกถึงรูปร่างหน้าตาของมันจนทำให้ผมจำภาพของผีเปรตตามคำบอกเล่าของพ่อได้จนถึงทุกวันนี้ว่า
"สูงเท่าต้นตาล มือเท่าใบลาน ปากเท่ารูเข็ม"
แล้วพ่อก็บอกถึงสาเหตุว่าคนที่ด่าพ่อด่าแม่หรือตีพ่อตีแม่เมื่อตายไปจะต้องกลายเป็นผีเปรต
ที่แสนทรมานเวลาหิวน้ำจะดื่มก็ไม่ได้เพราะปากเล็กเท่ารูเข็ม
เดินไปไหนก็เก้งก้างไม่น่าดูสุดแสนทรมาน
นับเป็นวิธีการสอนพวกเราให้รักพ่อรักแม่ที่แยบยลยิ่งนัก
พ่อเรียนจบแค่ชั้นประถมปีที่สามแต่ก็มีนิทานพื้นบ้านและวรรณคดีมาเล่าให้พวกเราฟังหลายเรื่อง
เช่น ลักษณวงศ์ พระรถ-เมรี พระสุธน-มโนราห์
ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี สามก๊ก ราชาธิราช
รามเกียรติ์ เป็นต้น
มีหลายเรื่องที่พวกเราฟังแล้วประทับใจจนผมถึงกับน้ำตาไหลสงสารพระเอก
และนางเอกในเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องพระรถ-เมรี และเรื่องพระสุธน-มโนราห์
พ่อสามารถผูกโยงเรื่องทั้งสองเข้าด้วยกัน
ทำให้พวกเราเห็นความต่อเนื่องของท้องเรื่องทั้งสองอย่างซาบซึ้ง
ตัวอย่างหนึ่งคือตอนที่นางยักษ์เมรีกำลังติดตามพระรถผู้เป็นสวามีด้วยความรักอย่างท่วมท้น
แต่นางกลับถูกพระรถตัดสวาทขาดไมตรี จึงทำให้นางเมรีคิดฆ่าตัวตาย
และก่อนตายนางได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า "ชาตินี้น้องตามพระมา
ชาติหน้าพระตามน้องไป "
ซึ่งนับเป็นคำพูดปริศนาที่โยงใยไปถึงเรื่องพระสุธน-มโนราห์ทิ้งท้ายจูงใจให้พวกเราติดตามเรื่องพระสุธน_มโนราห์ต่อไป
ซึ่งเมื่อติดตามเรื่องก็รู้ว่า
ในชาติต่อมาพระรถนั้นไปเกิดเป็นพระสุธนต้องเที่ยวติดตามหานางเมรี
ซึ่งไปเกิดเป็นนางมโนราห์
ปรากฎว่าพระสุธนต้องดั้นด้นตามหานางด้วยความรักเป็นเวลานานถึงเจ็ดปี
เจ็ดเดือน กับเจ็ดวันต้องผจญกับอุปสรรคต่าง ๆ
นานัปการจึงได้สมหวังในความรัก
เรื่องรามเกียรติ์เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พ่อเล่าได้สนุกมาก
พ่อเล่าได้เป็นฉาก ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ผมตื่นเต้นและประทับใจจนเคยฝันไปว่าตัวเองเป็นหนุมาน
และชอบกระโดดโลดเต้น โจนทะยานเล่นกับเพื่อน ๆ ก็คงเหมือนกับเด็ก
ๆ
ในปัจจุบันที่ชอบรำกระบี่ตามหนังจีนในทีวีนั่นแหละ
คืนไหนที่พ่อเมาเหล้าพวกเราจะรู้สึกผิดหวังเพราะต้องอดฟังเรื่องรามเกียรติ์
ก็คงเหมือนพวกที่ติดละครทีวีแล้วไม่ได้ดูยังไงยังงั้น
เวลามีโขนงานศพหรืองานวัดในหมู่บ้านผมมักไปแต่หัวค่ำเพื่อขึ้นไปจองที่นั่งบนเวทีซึ่งติดกับวงปี่พาทย์ลาดตะโพน
ถ้าถูกไล่ลงมาก็จะนั่งอยู่แถวหน้าสุด พร้อม ๆ
กับเพื่อนในหมู่บ้านที่เรียนหนังสือรุ่นราวคราวเดียวกัน
ผมดูไปก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องที่โขนแสดงให้เพื่อน ๆ
ฟังล่วงหน้าจนเพื่อนๆพากันแปลกใจว่าผมรู้เรื่องก่อนที่โขนจะแสดงได้อย่างไร
แต่บ่อยครั้งที่ถูกเพื่อนเอ็ดเอาเพราะทำให้เขาเสียสมาธิในการดูโขน
แรงจูงใจที่ผมได้ฟังพ่อเล่านิทานและวรรณคดีทำให้ผมเกิดความสนใจอยากหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม
เวลาผมเรียนหนังสือที่โรงเรียนผมมักยืมหนังสือวรรณคดีหรือนิทานพื้นบ้าน
เรื่องที่พ่อเล่ามาอ่านต่อจนจบทุกเรื่อง
ผมแปลกใจเหมือนกันว่าหลายครั้งขณะที่พ่อเล่าเรื่องถึงตอนสนุก
และพวกเรากำลังเคลิบเคลิ้มตาม อยู่ ๆ
พ่อก็แกล้งหาเหตุหยุดเล่ากลางคันเสียอย่างนั้นแหละ
เหตุผลที่พ่อมักใช้เป็นประจำก็คือ
"ดึกแล้วไปนอนก่อนพรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังต่อ"
แม้เราจะออดอ้อนว่ายังไม่ง่วงพ่อก็ไม่ยอม
ในที่สุดพวกเราก็ต้องอารมณ์ค้างอดได้ฟังตอนสนุกๆในคืนนั้น
เหมือนกับละครทีวีแต่ละวันที่มักจะจบตอนเมื่อใกล้จะถึงจุดไคลแม็กซ์
ครั้นถึงวันต่อมา
พวกเราตั้งท่าเตรียมฟังเรื่องที่พ่อเล่าค้างเมื่อคืน
แต่พวกเราก็ต้องผิดหวังอีก
เพราะพ่อหลบไปดื่มเหล้ากับเพื่อนบ้านจนเมาติดต่อกันหลายวัน
ทำให้ว่างเว้นจากการ เล่านิทานให้ลูกฟัง
ผมเองตอนแรกก็หงุดหงิด โกรธพ่อนิดๆที่แกล้งเรา
แต่เมื่ออดรนทนไม่ไหวก็เลย
ไปหาหนังสืออ่านเองที่ห้องสมุดโรงเรียน
โดยยืมมาอ่านที่บ้านด้วย ท่ามกลางแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด
ดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่ยอมหยุดอ่าน ยิ่งอ่านยิ่งมัน
เพราะผมมีพื้นฐานจากที่พ่อเล่าให้ฟังแล้ว โดยเฉพาะ
บทกลอนหรือคำประพันธ์ที่พ่อท่องให้ฟัง
ผมจะต้องหาอ่านจนพบทุกครั้งและท่องจำได้ขึ้นใจ แม่เห็นว่า
ผมไม่ยอมหลับยอมนอน จึงคอยมาเตือนว่าเปลืองน้ำมัน
ผมจึงต้องหยุดอ่านทั้งๆที่ยังไม่อยากเลิก
วันต่อมาผมก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องที่อ่านอย่างคร่าว ๆ
ให้พี่สายใจและน้องแสงดาวฟังเลยมีผลทำให้ทั้งสองคนเกาะติดผมแจ
ผมก็เลยแย่ต้องอ่านออกเสียงให้พวกเขาฟังด้วยในคืนต่อมา
ซึ่งผม
ไม่ค่อยชอบอ่านออกเสียงนัก เพราะรู้สึกว่าอ่านได้ช้ากว่าอ่านในใจ
ตอนหลังผมจึงเลี่ยงโดยไม่ให้พวกเขาเสียน้ำใจ
ด้วยการยืมหนังสือมาหลายๆเล่มให้พวกเขาอ่านเอง
พอพ่อรู้ว่าพวกเราไม่ง้อ ไปหาหนังสืออ่านต่อกันเอง
ท่านก็แอบยิ้มด้วยความพอใจ แถมยังมาแกล้งซักไซร้ถามโน่นถามนี่
แกล้งพูดเฉไฉเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเราก็เลยหายโกรธพ่อ
ซึ่งต่อมาจึงรู้ว่าเป็นแผนของพ่อที่คอยจุดประกายไฟให้เราอยากรู้อยากติดตามและหาอ่านด้วยตนเอง
ต่อมาพอพ่อเห็นว่าพวกเรามีพื้นฐานมากขึ้น
พ่อจึงเปลี่ยนจากการเล่านิทานมาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่พวกเราอ่านแทน
ผมก็เริ่มรู้ว่าพ่อเองก็พยายามจะศึกษาเพิ่มเติมจากพวกเราเหมือนกันเพราะท่านอ่านมานานคงจะหลงลืมไปบ้าง
แต่ท่านก็พยายามไว้เชิง ไม่ให้เสียฟอร์ม
ยิ่งนานวันผมก็รู้สึกตัวว่ามีสมาธิในการอ่านและแตกฉานในวรรณคดีมากขึ้น
นี่น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมได้คะแนนวิชาภาษาไทยสูงมาโดยตลอด
พ่อเป็นวีรบุรุษที่ผมภูมิใจและศรัทธาในความสามารถหลายเรื่อง
พ่อเป็นคนชอบอ่าน
ช่างจดจำและมีศิลปะการถ่ายทอดที่ยอดเยี่ยม พ่อบอกว่า
พ่ออ่านวรรณคดีต่าง ๆ ตอนบวชเป็นพระ อ่านทั้งภาษาบาลี
วรรณคดี และนิทานพื้นบ้านต่าง ๆ เกือบทุกเรื่อง
นอกจากนี้พ่อยังมีความรู้ทาง โหราศาสตร์อีกด้วย
คนในหมู่บ้านเวลามีเรื่องหรือจะมีงานอะไรมักมาหาพ่อให้ทำนายทายทัก
จับยามสามตาหรือสะเดาะเคราะห์ให้เสมอ
อาศัยที่พ่อเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีจิตวิทยาสูง
พยายามตรวจวิเคราะห์ทำนายทายทัก
ให้ผู้คนที่มาหามีความสุขและพึงพอใจทุกคน พ่อจึงได้รับ
ความเชื่อถือจากชาวบ้านอย่างกว้างขวาง
และมีคนมาหาพ่อไม่เว้นแต่ละวัน
นอกจากนี้พ่อยังมีความรู้เรื่องยาแผนโบราณเป็นอย่างดี
พ่อมีตำรายาที่รักษาโรคพื้นบ้านได้เกือบทุกโรค ลูก ๆ
ของพ่อจะต้องกลายเป็นหนูตะเภาทดลองยาของพ่อกันทุกคน
ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
เช่นเวลามีบาดแผลก็ใช้ใบสาบเสือขยี้กับปูนแดงจนเป็นฟองเอามาป้ายแผล
ไม่กี่วันก็หาย เวลาเป็นไข้อีสุกอีใสพ่อก็ต้มน้ำใบส้มป่อยให้อาบ
แต่เรื่องที่พวกเรากลัวกันมากที่สุดเห็นจะเป็นการถูกบังคับให้ดื่มลูกมะเกลือจำนวนเท่าอายุ
โดยนำมาตำแล้วคั้นกับน้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิกันปีละหน
ผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไรชวนให้คลื่นไส้ทุกครั้ง
ผมมักถูกพ่อเคี่ยวเข็ญหนักกว่าใครในเรื่องดื่มยาถ่ายพยาธิเพราะตอนเด็ก
ๆ รูปร่างผอมกะหร่อง พุงโรก้นปอด
ซึ่งพ่อเรียกว่าเป็นโรคตานขโมย
พ่อมักต้มยาหม้อใหญ่ขมปิ๊ดปี๋ให้ผมดื่ม ต้องทั้งขู่
ทั้งปลอบกัน บางทีถึงกับเรียกแม่และพี่ ๆ
มาช่วยกันจับกรอกจนผมต้องร้องลั่นทุกครั้ง
ผมยังจำเจ้าตัวยาศัตรูคู่อาฆาตของผมที่พ่อท่องให้ฟังจนขึ้นใจได้ดี
"ชุมเห็ดทั้งห้า
ขี้กาลูกเล็ก
เอาตามอายุเด็ก
เลือกลูกอ่อน ๆ
สมอเทศสมอไทย
เข้าใบมะกา
ตูดหมูตูดหมา
เอารากอ่อน ๆ "
ก่อนนอนพ่อชอบนั่งหน้าหิ้งพระที่ไม่เคยปัดกวาด
จึงมีทั้งก้านธูปทั้งขี้เถ้าหกอยู่เลอะเทอะ
กับพวกหยากไย่ระโยงระยางเต็มไปหมด พ่อสวดมนต์บทต่าง ๆ อย่างยาวนาน
เสียงดังไปทั้งบ้านราวกับ
เจตนาให้ลูก ๆ ได้ยิน
พ่อจำบทสวดมนต์ในหนังสือเจ็ดตำนานได้ทั้งเล่ม
ยังมีคาถาอีกสารพัดที่พ่อท่องอยู่
เป็นประจำ
ที่ผมจำได้ถนัดก็เห็นจะเป็นคาถาป้องกันภัยสิบทิศของพระอาจารย์ฝั้นและคาถาชินบัญชร
เวลาสวดมนต์พ่อจะมีลีลาการเอื้อนเสียงเป็นจังหวะจะโคนหนำซ้ำยังทำเสียงสั่น
แถมลงลูกคอ
เหมือนกับพระตอนขึ้นธรรมาสน์ ชวนให้น่าฟัง
ผมเองค่อนข้างจะจำอะไรได้แม่น ฟังพ่ออยู่ทุกวัน
ก็จดจำได้หมด
เมื่อถึงตอนบวชเรื่องการสวดมนต์จึงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย
ผมพยายามจดจำและลอกเลียนแบบการกระทำของพ่อเกือบทุกเรื่องที่ผมศรัทธาเป็นต้นว่า
ท่วงทำนองการพูดที่สุภาพ นุ่มนวลชวนฟัง
ตลอดจนบุคลิกท่าทางการวางตัวที่สง่างาม
ยกเว้นเรื่องการดื่มเหล้าซึ่งผมไม่ยอมตามอย่างพ่อ
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ลอกเลียนแบบ ในเรื่องนี้ด้วย
อาจเป็นเพราะผมเห็นเวลาพ่อเมาเหล้าครองสติไม่อยู่
กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้ง ร้องรำทำเพลง
ส่งเสียงเอะอะโวยวาย พูดจาอ้อแอ้ อาเจียน จนน่ารำคาญ
กลายเป็นคนละคนกับพ่อที่ผมชื่นชมศรัทธาก็ได้
จึงไม่อยากเอาอย่าง
ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า
ตอนนั้นผมก็ยังเป็นเด็ก
แต่ทำไมจึงรู้จักแยกแยะว่า
อะไรควรอะไรไม่ควร.
-----------------------------
ธเนศ
ขำเกิด [email protected]