การฝึกที่ใจ (ข้อคิดเห็นที่พูดคุยกัน)
เป็นบันทึกชื่อ การฝึกที่ใจ ของพี่แอมป์ แขกเจ้าเก่า (โดยยังไม่ได้รับบัตรเชิญ)
ขออนุญาต นะคะ พี่แอมป์ น้องเห็นว่า
ข้อเขียนพี่แอมป์เขียนไว้ ประณีต และ..ฮา ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ซะด้วย
ข้อคิดเห็นที่หนึ่ง
การฝึกที่ใจ
สี่คำ สี่พยางค์ แต่ยาก
ฟังคำพระแล้วคิดตาม อ่านของพี่แอมป์แล้วคิดตาม
มันครือ ๆ กันในบางส่วนนะคะ(ไม่ได้ชม พูดจากใจจริง,บ่งบอกถึงวัย..หมายถึงอย่างน้อยผู้เขียน...เอ้า...ผู้มาอ่านด้วย อย่างน้อยผ่านร้อนตับแตก,หนาว,และฝนมาหลายเพ-ลา อิ อิ)
บางท่าน..พระบอกว่า ฝึกเฉพาะเฝ้าดู สังเกตุ ใจ/จิต ดูว่ามันมา-ไป อย่างไร
บางท่าน..ว่า ดูจิต
บางท่าน..ว่าดูแต่จิตข้างใน อย่าส่งจิตออกข้างนอก ดูเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย อย่าเพ่งเดี๋ยวติดเพ่ง อย่าเคลิ้มเดี๋ยวติดเคลิ้ม
หมอเล็กว่า (ฟังท่านกี่ท่านนับไม่ได้ อ่านอีกมากด้วย)ทางสายกลางดีที่สุด
และเรา(ตัวเอง)ก็ยังเป็นปุถุชน
จะเหมือนที่พี่แอมป์เขียนว่า..ผ่านแบบที่สองแปลว่า ได้ผ่านการ "ทดสอบ" อย่างเป็นธรรมชาติ มาแล้ว ว่า เกิดทักษะการรู้เท่าทันการสื่อสารจริงๆ
หรือเปล่าหนอ
คุยให้ฮง ๆ แค่นี้ค่ะ คืนนี้ รตสว ค่ะ
เมื่อ อา. 29 มี.ค. 2552 @ 21:52
1208903 [ลบ] [แจ้งลบ]
สวัสดีค่ะคุณหมอเล็ก
พี่แอมป์เจอคนอ่านที่ลึกซึ้งกว่าคนเขียนแล้วนะคะเนี่ย
ที่ท่านว่า"จิตเป็นกาย นายเป็นบ่าว" พี่มานึกดูตรองดูหลายทีเข้าก็เห็นจริง ถ้าเรารู้เท่าทัน ฝึกใจได้ พี่ว่าเราจะมีความสุขขึ้นอีกอักโข ทั้งที่ถ้อยคำที่เขียนไปนี้
“มองเห็นความจริงอย่างที่มันเป็น และเข้าใจเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความจริงเหล่านั้น รวมถึงการวางท่าทีความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้อง”
"เน้นที่การรู้เท่าทันธรรมดา ฝึกที่จิตใจโดยตรง ตั้งเป้าแน่วแน่ไปเลยว่าฝึกที่ใจ โดยมีบันไดขั้นต้นว่าต้องฝึกคนให้เป็นคนดี"
เป็นถ้อยคำที่พี่เองก็ยังไม่เข้าใจกระจ่างนัก แต่พี่ชอบและคิดว่าดี ว่าแล้วพี่ก็ฝึกลูกศิษย์เอาดื้อๆให้ฮงกันไปทุกรุ่นแบบนี้แหละค่ะ
มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้พี่ยิ้มได้ทุกครั้งที่เลี้ยวรถเข้ามหาวิทยาลัย คือพี่รู้สึกว่าที่นี้แลเหมาะแก่เราแล้วที่จะปฏิบัติธรรม คือเราได้พูดสอนคนอื่น ถ้อยคำที่เราพูดก็เข้าหูซ้ายแลทะลุหูขวาทั้งของเราและของเด็ก ดังนี้พี่เรียก(เพื่อให้ตัวเองเข้าใจง่ายๆ)ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมชั้นที่หนึ่ง คือปฏิบัติด้วยการสื่อสารกัน(พูดและเขียน)เพื่อให้เกิดการกำหนดรู้และเข้าใจความหมายร่วมกันนั่นเอง อันนี้เป็นการปูพื้นฐานไว้ชั้นหนึ่งก่อน
หากเราให้ทำงานเลยโดยไม่ปูพื้นฐาน ไม่สื่อสาร(เพื่อการสื่อความหมายให้เห็นคุณค่าที่ลึกซึ้งกว่าการลงมือทำให้เสร็จๆไป) เด็กจะ"ทำ"แต่งานโดยขาดการกำหนดรู้ความหมาย เหมือนการตอบข้อสอบปรนัยโดยไม่รู้เท่าทันว่า สอบไปเพื่ออะไร การตอบข้อสอบแต่ละข้อโดยไม่เดาส่งเดชนั้น ให้คุณค่าแท้ๆอย่างไร เป็นต้น (ทั้งที่เบื้องหลังการออกข้อสอบแต่ละข้อนั้นครูคิดตัวเลือกจนหูตาลาย เพื่อให้ข้อสอบมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งก็ไม่รู้จะสูงสุดได้จริงไหม) : )
การปฏิบัติธรรมชั้นที่สอง จะควบคู่ไปกับชั้นที่สาม ไม่ควรฝึกแยกส่วนแต่ควรฝึกเป็นกระบวนการ คือการฝึกให้ลงมือทำจริง ในขณะที่เด็กทำสิ่งใดๆ ครูก็ติดตามและถามใจไปเป็นระยะๆ เพื่อให้ทบทวนไตร่ตรองทั้งในภาวะงานและภาวะธรรม
ภาวะงานคือการทำความเข้าใจขั้นตอนและกลไกของการทำงานชุดนั้นๆ ให้เขาถอดบทเรียนของตนและเพื่อน ให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ตามทฤษฎี"เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" อ่า..แบบว่าพูดไปแล้วทั้งครูทั้งเด็กก็ไม่ใคร่เข้าใจเท่าไหร่แต่กะเอาเท่ไว้ก่อน
ภาวะธรรม คือตรวจสอบทบทวนปรับแก้ PDCA อารมณ์ตนเองตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนงานนั้น แปลว่า ก่อนทำงาน ขณะทำงานและหลังจากทำไปแล้ว ทั้งเด็กทั้งครูต้องตรวจสอบอารมณ์ตนเองเกือบตลอดเวลาที่รู้ตัว (ว่าเรากำลังตามดูอารมณ์ของตัวเองอยู่) เพราะอารมณ์และท่าทีในการสื่อสารของเราจะส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ ระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงานไปจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งอันนี้แหละค่ะที่ฝึกยากที่สุด เพราะครูเองก็แทบเอาตัวไม่รอด
หากฝึกจนเข้ามือ เด็กๆจะเห็นว่าทั้งภาวะงานและภาวะธรรมนี้จะขับเคลื่อนเป็นกระบวนการ ทั้งงานและธรรมจะไปด้วยกัน ถ้าตามดูและรู้เท่าทันก็จะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขกายสบายใจดี
เพราะเรียนรู้วิธีการ"เข้าใจ"กันแล้ว ได้ฝึก"ใจ"ร่วมกันแล้ว นี่คือการปฏิบัติธรรมชั้นที่สาม ขั้นนี้หรือชั้นนี้ยากขึ้นมาอีกหน่อย ครูต้องใจนิ่งและใจเย็น เห็นอะไรเป็นกลางๆ (เอ่อ..คือพี่ก็อยากทำได้อย่างที่เขียนไปเนี่ยนะคะ แต่เอาเข้าจริงๆก็ทำไม่ค่อยได้ซักที)
พี่แอมป์จึงขำนัก เพราะการอ่านหนังสือธรรมะเจ็ดพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเล่ม โดยไม่ฝึกใจตนเองแม้หนึ่งขณะจิต ก็ไม่อาจอ้างได้ว่าชีวิตนี้เราพบ"ธรรม" และพี่ก็เป็นคนแบบนั้น คืออ่านเยอะแต่ไม่ใคร่จริงจังกับการลงมือทำ เวลาฝึกเด็กจึงดู"กลวงๆ"อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าที่พูดๆไปนั้นเราทำจริงให้เกิดจริงกับตัวไม่ได้สักอย่าง
พี่จึงเริ่มจากการฝึกที่ใจตัวเองก่อน แบบว่าล้มลุกคลุกคลานมากค่ะคุณหมอเล็ก แค่เริ่มจากการ "เข้าใจและไม่โกรธ" นี่ก็แทบแย่แล้วในแต่ละวัน แต่วันไหนที่ทำได้ก็รู้สึกดีใจชะมัด พี่จึงต้องฝึกตัวเองทุกวัน และยังอยู่ในระยะล้มลุกคลุกคลานสนุกสนานมาจนบัดนี้ ยังข้ามไปขั้นที่สามไม่ได้สักที
ขอบพระคุณคุณหมอเล็กที่แวะมาสารภาพภาพเอ๊ยชมว่าเรื่องนี้สมกับอายุทั้งผู้เขียนและผู้อ่านนะคะ พี่แอมป์คิดว่าไหนๆแก่แล้วก็เขียนให้สมแก่ พอมีคนใจดีแวะมาชมก็เลยรีบรับสมอ้างอย่างดีใจจนออกนอกหน้า คนเขียนน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะเขียนเองงงเองมานานจนชินแล้ว พอเจอคนอ่านที่ไม่งงแถมยังช่วยขยายความให้กระจ่างได้อย่างนี้ เลยออกจะดีใจว่าคงไม่ห่างกันเท่าไหร่
แบบว่าสามารถร่วมรุ่นกันได้อย่างไม่ขัดเขินเลยอะค่ะ : ) : ) อิอิอิ