ช่วงนี้แม้ไม่ได้ป่วยไข้เข้าโรงพยาบาลเอง แต่ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรงพยาบาลค่ะ ..
เรื่องแรก เป็นเรื่องของคณพ่อค่ะ ..เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนท่านเกิดอาการเท้าบวมขาบวม เลยไปโรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งหนึ่ง แต่ได้รับการดูแลที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ คือหลังจากที่พยาบาลซักประวัติเสร็จเข้าตรวจกับคุณหมอ พ่อบอกว่าหมอไม่ได้ตรวจดูบริเวณที่บวมเลยหมอสั่งยาตามการซักถามอาการของคุณพยาบาล ( ทำให้คิดว่าแหม..อย่างนี้คนป่วยคงไม่จำเป็นต้องหาหมอ โทรมาบอกแล้วจัดส่งยาแบบพิซซ่าไปเลย) เมื่อทานยาที่หมอสั่งแล้วอาการไม่ดีขึ้นเลยไปโรงพยาบาลอีกแห่ง คราวนี้หมอตรวจละเอียดแล้วต้องให้นอนโรงพยาบาลค่ะ เห็นว่าเป็นผลจากอาการที่ท่านหัวใจโตอะไรประมาณนี้ ตอนนี้อาการบามหายแล้วกลับบ้านได้
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องเล่าจากดวงใจ ของคุณประณีต ประสาระเอ โรงพยาบาลนาเชือก ... เมื่อสัปดาห์ก่อนตามสองนักประเมิน ท่านอาจารย์ JJ กับ อาจารย์ขาว ไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลนาเชือกค่ะ เลยได้ฟังเรื่องเล่าอันเร้าพลังเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อ AIDS ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ดำเนินการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยจัดโครงการนำร่องซึ่งมีผู้ป่วยมาร่วมกิจกรรมระยะแรกประมาณ 10 คน
ทางโรงพยาบาลได้จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้ป่วยเข้าร่วม ซึ่งกลุ่มแรกนี้มีผู้ป่วยรายหนึ่งมาสายประจำ และการไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยรายนั้นก็เป็นวันที่ทุกคนได้เข้าใจถึงเหตุผลในการมาสาย ... ซึ่งพบว่าบ้านผู้ป่วยอยู่ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ 15 กม. และผู้ป่วยไม่ได้ถูกยอมรับให้สามารถขึ้นรถโดยสารประจำทางมาโรงพยาบาลได้ ทุกครั้งเลยต้องเดินมาโรงพยาบาล ส่วนสภาพบ้านนั้น รอบๆบริเวณบ้านถูกล้อมรอบด้วยพลาสติกเพื่อทำเป็นรั้วกั้น ซึ่งผุ้ป่วยไม่ได้ทำเอง แต่เพื่อนบ้านเป็นคนทำขึ้นมาเพราะกลัวว่าสัตวืเลี้ยงพวกเป็ดไก่จะมาหาอาหารกินบริเวณบ้านผู้ป่วย
นอกจากนี้..หลังจากที่ผู้ป่วยได้เสียชีวิตการที่จะนำผู้ป่วยไปเผาในหมู่บ้านนั้นนับว่าเป็นเรื่องยากมาก เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน ทีมงานของโรงพยาบาลต้องเป็นธุระในการประสานผู้ใหญ่บ้านเลยทีเดียว
ทีมงานที่ทำงานนี้จึงต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงกายไม่ใช่น้อยกว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคมากมายกว่าจะสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เพื่อนบ้านและชาวบ้าน
ปัจจุบันทีมงานมิได้มีเพียงคุณหมอ คุณพยาบาลเท่านั้น แต่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่สามารถดูแลตนเองได้ดีมาเป็นพี่เลี้ยงและผู้นำทำกิจกรรมหลายอย่าง เป็นการสร้างคุณค่าให้แก่ตน
ประโยคทิ้งท้าย :
"เราดูแลคนๆหนึ่งให้สังคมไม่รังเกียจ
ดูแลผู้ป่วยเหมือนญาติคนหนึ่ง"
**ขอขอบคุณเรื่องเล่าดี ๆ ที่ได้ฟังจากคุณประณีต ประสาระเอค่ะ