ได้ดูภาพยนต์ "เสียงกู่จากครูใหญ่" ตอนไปร่วมเวทีเสวนาคุณอำนวย ที่บานผู้หว่านเมื่อ 17-18 เมษายน ที่ผ่านมา ได้ข้อคิดในการทำงานมากมาย แต่ในตอนแสดงความคิดเห็นและข้อคิดที่ได้จากการดูในคืนนั้น ผมไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แต่ก็เห็นด้วยกับทุกท่านที่ได้สะท้อนบทเรียน หลังจากนั้นยังได้อ่านบล็อกของหลายๆ ท่าน ทั้งที่คุณอำนวยที่เข้าร่วมเสวนา และคุณอำนวยท่านอื่นๆ หรือสมาชิกชาวบล็อกอีกหลายท่าน เกี่ยวกับบทเรียนที่ได้จากการดู "เสียงกู่จากครูใหญ่"
ผมมีประสบการณ์ที่เป็นบทเรียนที่สำคัญในชีวิตการทำงานของผม เป็นเรื่องที่ยาวมากและมีเรื่องราวที่มีส่วนคล้ายกันกับ "เสียงกู่จากครูใหญ่" ผมจึงขอเขียนเพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบกาณ์เป็นตอนๆ เป็นการ ลปรร. และเป็นการบันทึกบทเรียนอันสำคัญของช่วงหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในหน้าที่ "ครูอาสาสมัคร"
งานในบทบาทครูนั้น ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่สำคัญ หรือใหญ่โตอะไร เป็นเพียงครูอาสาสมัครศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช) ในสมัยนั้น ระหว่าง ปี มีนาคม 2531 - กันยายน2534 ของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงใหม่ แต่ต้องไปเปิดโครงการและสร้างศูนย์ฯ (โรงเรียน) จำนวนถึง 28 ศูนย์ (พวกเราเรียกว่า "อาศรม" ไม่ใช่ที่อยู่ของพระฤาษีนะครับ แต่เป็นที่จัดกิจกรรมของครู) ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ค่าตอบแทนตอนนั้นก็น้อยนิด แต่งานที่ทำเมื่อหวลระลึกถึง ผนวกกับการเรียนรู้ในการทำงานปัจจุบัน ผมกลับมีความภูมิใจมากกับบทบาทที่เราได้ทำหน้าที่ และได้ประสบการณ์จากการเป็นครูอาสมัคร
ผมทำหน้าที่ครูนิเทศก์ หรือที่ชาวบ้านซึ่งเป็นกะเหรี่ยงทั้งหมด ตั้งให้ก็คือเซอหระพะโด้ (ครูใหญ่) เป็นภาษากะเหรี่ยงขออภัยหากเขียนผิด
การเข้าไปทำงานในระยะบุกเบิกช่วงเริ่มต้นนั้น ผมมีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังครับ
เริ่มด้วยการเดินทางจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงใหม่ รับเพียงหนังสือรายงานตัวต่อนายอำเภอแม่แจ่มเพียงฉบับเดียว ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องนอน เครื่องใช้ต่างๆ ไปให้พร้อม หน่วยงานที่ดูแลและบังคับบัญชาเบื้องต้นในขณะนั้นก็คือ "สำนักงานศึกษาธิการอำเภอ" ซึ่งขณะนี้ทราบว่ายุบไปแล้ว ไปเรียนรุ้เอาข้างหน้าครับ
นายอำเภอแม่แจ่มในขณะนั้นคือ ท่านนายอำเภอ สุขิต หลิมศิริวงศ์ และที่สำคัญต่อชีวิตการทำงานในช่วงเป็นครูอาสาสมัครของผมที่จะต้องขอบันทึกไว้ก็คือท่านศึกษาธิการอำเภอแม่แจ่มในขณะนั้นคือ อาจารย์จำลอง กิติศรี ปัจจุบันท่านดำรงค์ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้ให้การดูแลพวกเราชุดบุกเบิกจำนวน 3 คน เป็นอย่างดียิ่งพวกเราคือ 1) อ.เพลิน ทิพย์พันธุ์ดี (โรงเรียนสบปราบวิทยาคม : เสียชีวิตแล้ว 2) อ.เกษียณ มะโนชัย : ทราบแต่ว่าเป็นครูแต่ไม่รู้ว่าที่ไหน และ 3) คือตัวผมเอง คงไม่มีวันลืมพระคุณของท่านตลอดไป...
การเข้าไปทำงานโดยที่ยังไม่มีโรงเรียน หรือศูนยฯ ป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ เราทั้งไม่มีทุนทรัพย์หรืองบประมาณ และไม่เคยเป็นครู และที่สำคัญไม่เคยมีใครเคยสร้างโรงเรียนมาก่อน แต่พวกเราก็ได้เรียนรู้ / ปรับตัว โดยพวกเรา 3 คนได้แยกย้ายกันไปอยู่ 3 กลุ่มบ้าน อยู่กันคนละกลุ่มบ้าน สิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติก็คือ
ช่วงแรกนี้ผมใช้เวลามากกว่า 3 เดือน ชาวบ้านจึงร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างโรงเรียนชั่วคราวขึ้นมาก่อน เป็นอาคารหลังเล็กที่มีที่พอทำโต๊ะเขียนหนังสือได้ และมีที่พักอาศัยของผมอยู่ในที่เดียวกัน (อาศรมจริงๆ ครับ)
สองภาพด้านล่างนี้ในปีแรกผมทำหน้าที่ครูประจำศูนย์และครูนิเทศก์ ได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างอาคารศูนย์ฯ ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะสร้างได้ ต้องใช้ความอดทนสร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้าน จนเห็นความสำคัญและร่วมแรงร่วมใจกันสร้างจนสำเร็จ
ภาพนี้เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเพื่อนครูต่างก็ต้องร่วมกับชาวบ้านสร้างศูนย์เช่นเดียวกัน
ภาพนี้หลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งปี มีการขยายและเพิ่มจำนวนศูนย์ ได้ทำหน้าที่ครูนิเทศก์ จึงต้องไปร่วมกับชาวบ้าน และเพื่อนครูจากศูนย์อื่นๆ ช่วยกันสร้างศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ไม่ง่ายเลยนะครับกว่าจะฝ่าฟันมาจนถึงวันนี้ได้)
เป็นอย่างไรบ้างครับส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในชีวิตของผม อย่าแปลกใจนะครับว่าวันที่ที่ปรากฎในภาพจะเป็นเดือน เมษายน 49 เพราะผมใช้กล้องดิจิตอลถ่ายจากภาพเดิม ได้เรียนรู้อีกอย่างว่าใช้ได้ดี ได้ความคมชัดกว่าการใช้เครื่องสแกน และที่สำคัญก็คือสะดวกและรวดเร็วกว่ามากครับ
บทสรุป
สำหรับบันทึกนี้ก็คือ การจะทำงานพัฒนาโดยเฉพาะจากประสบการณ์ของการทำหน้าที่ครูอาสาสมัครของผม สิ่งที่เราจะต้องสร้าง หรือปฏิบัติในการลงสนามเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนานั้น มีประเด็นที่สำคัญหลายประเด็น เช่น
ความสำเร็จของงานนั้นจึงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน...
คอยอ่านตอนต่อไปนะครับ ( เชิญอ่านตอนที่ 2ครับ )
วีรยุทธ สมป่าสัก
พี่ "สิงห์ป่าสัก"
ขอบคุณ "ต๋าบรึ" (ภาษากระเหรี่ยง หมายถึง ขอบคุณ)สำหรับ "อุดมการณ์" ที่ช่วยสานฝันให้เด็กน้อยบนดอยสูง
ผมชอบบทสรุป ผมคิดว่า เป็นการสังเคราะห์ ถอดบทเรียนจากการทำงาน
น่าสนใจและภาคภูมิใจ มากครับ
สวัสดีค่ะคุณสิงห์ป่าสัก ขอชื่นชมในการทำงานด้วยความมุ่งมั่นของการพัฒนาเพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสเรียนรู้ ใช้หลักการมีส่วนร่วมในการทำงาน รวมทั้งเรื่องของ "จิตอาสา"ค่ะ ภูมิใจมากค่ะที่ได้รู้จักเพื่อนร่วมการพัฒนาค่ะ