เดือนมีนาคม...............เป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายของสนามบิน


ได้เรียนรู้กับการต้องอยู่กับคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เราก็สามารถให้สิ่งดีๆต่อกันได้

 

สนามบินพุทธคยา ในแต่ละวัน จะมีเครื่องบินลงไม่มากนัก อย่างวันที่ผู้เขียนเดินทางนั้น มีลงเที่ยวเดียวของการบินไทย คนที่มากับคณะทัวร์ ต่างทะยอย เดินทางออกจากสนามบินเกือบจะหมดอยู่แล้ว ผู้เขียนจึงติดต่อพระมหาจูมได้

  ท่านมหาจูม ที่เป็นพระที่จะมารับผู้เขียนที่สนามบิน แต่ปรากฏว่า ท่านไม่ได้มา เนื่องจากติดพิธีกรรม บวชกระใหม่ ที่วัดพุทธคยา ทำเอาผู้เขียนรู้สึกใจหายไปเลย อยู่พักใหญ่  ขณะที่เดินออกจากห้องพักผู้โดยสารพบว่า ท่านได้ส่ง กัลยาณมิตรใหม่มารับแทน ซึ่งต่อมา ได้นำผู้เขียน เที่ยวชม และปฏิบัติธรรม ในพุทธสถาน เมืองพุทธคยาหลายแห่ง จนครบ หกวัน ผู้เขียนจึงได้เดินทางต่อไปยังกุสินารา

    เมืองกุสินารา ณ ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง ได้มีโอกาสทำงานในสิ่งที่ตนปรารถนา ได้เรียนรู้กับการต้องอยู่กับคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เราก็สามารถให้สิ่งดีๆต่อกันได้ มีทั้งความตื่นเต้น และเงียบเหงาในหัวใจ แต่ความทรงจำที่นี่ ไม่เคยลบเลือนจากใจเลย

   ไม่รู้ว่าเคยเกิดเป็นคนที่นี่หรือเปล่า รู้สึกคุ้นๆไปหมด และที่สำคัญ มีคนตั้งชื่อให้ผู้เขียนเป็นภาษาอินเดียด้วย ไม่ว่าจะมีความหมายอะไร แต่เขาบอกว่า ผู้เขียนต้องใช้ชื่อนี้

   คราวหน้าผู้เขียนจะแนะนำให้รู้จักนะคะ ว่าเขาคือใคร

หมายเลขบันทึก: 248644เขียนเมื่อ 15 มีนาคม 2009 21:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

แวะมาอ่านให้ตัวเองเพลิดเพลินค่ะ...ขอให้มีความสุขมากมากนะคะ

สวัสดีค่ะคุณadd

ขอบคุณค่ะ

ขออภัยที่หมู่นี้เป็นนักเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยได้เรื่อง

ขาดหายไปหลายๆวัน

เพราะมีภารกิจเข้ามามาก

บางครั้งกลับบ้านดึกด้วยค่ะ

พอจะเขียนต่อมันก็ต้้งท่าจะหลับเสียแล้ว

ดีใจที่คุณadd ได้ความสุข

จากเรื่องเล่าในวันนี้ค่ะ

คุณหมอคะ แวะมาอ่านอยู่บ่อย ๆ ชอบเรื่องอินเดียที่คุณหมอเขียน แต่อยากจะติงนิดหนึ่งว่าภาพที่คุณหมอนำมาลง ไม่ใช่พระอาจารย์มหาจูมนะคะ ที่จำได้เพราะท่านเป็นพระวิทยากรนำคณะทัวร์พวกเรา ๑๓ วัน

สวัสดีครับคุณ ตันติราพันธ์ แวะมาส่งไปอินเดียครับ ได้รับรู้เรื่องเล่าดีๆ ทุกครั้งจากบันทึกนี้ทุกที ขอบคุณ คุณความดีครับ

สวัสดีค่ะ พี่หมอ

สบายไหมค่ะ 

 

ขออภัย สบายดีไหมค่ะ ไม่ได้ใช้บันทึกมานานมากๆ

ขอเวลาปรับตัวสักนิดค่ะ

 อิอิ

สวัสดีค่ะคุณคนเคยไปอินเดีย

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ดิฉันได้ลบภาพท่านออกกแล้ว

เนื่องจากเป็นภาพคุณพ่อสกล วรฉัตรส่งมาให้ทางเมล์

ดิฉันเองก็ไม่เคยพบท่านมหาจูมจนทุกวันนี้

เลยไม่ทราบว่าไม่ใช่ท่าน

ของคุณจริงๆค่ะ ที่ติดตามอ่านและท้วงติงให้

สวัสดีค่ะคุณวอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--

ขอบคุณมากๆค่ะ

เป็นเรื่องเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมา

ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่อยากจะให้มีครั้งต่อๆไป

เราคงต่างก็มีเรื่องน่าสนใจ

ชอบอ่าน ชอบเขียนเหมือนกัน

เลยทำให้รู้สึกว่าอ่านสบายๆค่ะ

ขอให้มีความสุขสบายตลอดไปค่ะ

สวัสดีค่ะคุณครูเอ

หายไปไหนมาหนอ

ชลบุรีก็ไม่มา

ว่างแล้วก็บันทึกเรื่องราวให้อ่านบ้างนะคะ

คิดถึงเช่นกันค่ะ คิดถึง คิดถึง....

คนเคยไปอินเดีย (อีกครั้ง)

ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ พอดีว่าตัวเองก็เขียนเรื่องไปอินเดียอยู่ในไดอารี่ออนไลน์เช่นกัน เลยได้อาศัยข้อมูลจากคุณหมอเตือนความจำในหลายสถานที่ที่ไปเยือน ว่าง ๆ คุณหมอก็ลองแวะไปเยี่ยมที่บล๊อคบ้างก็ได้นะคะ (มีรูปพระอาจารย์จูมด้วยค่ะ)..เผื่อมีอะไรจะได้แนะนำเผื่อแผ่ข้อมูลกันบ้างค่ะ ...อ่านและเขียนเรื่องไปอินเดียคราใดก็สุขใจครานั้นเลยค่ะ ..สำนวนคุณหมองามดีค่ะ...ชอบอ่าน...ฝากurl ไว้ให้แล้วกันนะคะ.. http://munasunma.diaryclub.com/

เจริญพร โยมหมอรุ่ง

อินเดียมีวัฒนธรรมประเพณีเอามาขายนักท่องเที่ยวไม่หมดสิ้น

เพราะเป็นประเทศใหญ่และยังเป็นแหล่งอารยธรรมของโลก

เจริญพร

สวัสดีค่ะคุณคนเคยไปอินเดีย

ไปเยี่ยมบล็อกมาแล้ว

แต่โพสไม่ได้ค่ะ

เลยกลับมาชื่นชมที่นี่

เขียนได้น่าสนใจค่ะ และทำให้คิดถึงอินเดีย

นี่ขนาดไปทัวร์ไม่กี่วัน ยังประทับใจและจดจำได้มากมาย

ถ้าได้อยู่ต่อสักหน่อย คงไม่อยากกลับบ้านแน่ๆเลย

กราบนมัสการพระคุณเจ้า

ขอให้พระคุณเจ้าได้ไปอินเดีย

คงจะได้มีเรื่องมาเล่าที่ลึกซึ้งกว่าโยม

เพราะมีความรู้พระพุทธศาสนามากกว่า

โยมได้นำข้อความที่สอบถามท่านไป ตอบโยมเขาแล้ว

กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ ที่แวะไปเยี่ยมไดอารี่ออนไลน์ ว๊า เสียดายจังที่โพสต์ไม่ได้ ไม่งั้นก็จะได้แฟนคลับเพิ่มอีกคน อิอิ ไม่ได้แวะมาหลายวันแล้วค่ะ ไม่ค่อยว่าง..อ้อจะแวะมาบอกคุณหมอว่าพระอาจารย๋จูมกลับมาเมืองไทยแล้วนะคะ..ใช่เลยค่ะคุณหมอ ยังอยากไปอินเดียอยู่ทุกห้วงเวลา ไม่รู้ว่าทำไมถึงผูกพันกับอินเดียซะนักหนา...

สวัสดีค่ะคุณคนเคยไปอินเดีย

เขียนเก่งอย่างนี้

มาเขียนที่Gotoknowบ้างนะคะ

รับรองแฟนคลับตรึม

..ใช่ค่ะ อินเดียเหมือนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์

คนที่มีเรื่องราวผูกพันจึงต้องไปที่นั่น

และโหยหาที่จะไปอีกอยู่อย่างนั้น

เหมือนเราสองคนค่ะแล้ว

แวะมาคุยกันอีกนะคะ

รู้สึกคุ้นเคยอย่างไรไม่ทราบค่ะ

คุณหมอขา ..แวะมารายงานตัวแล้วค่ะ...ช่วงนี้อารมณ์อยากเขียนอะไรต่อมิอะไรหดหายไปไหนไม่รู้ อาจมีบางเรื่องราวมาแผ้วพานจิตใจ..แต่อย่างไรก็จะพยายามละลายสิ่งนั้นให้เร็วที่สุด เช่นกันอาจจะเป็นเพราะได้ติดตามอ่านบทกลอนบ้าง งานเขียนคุณหมอบ้าง เลยแอบรู้สึกคุ้นเคยกับคุณหมอเช่นกัน...ถ้ามีโอกาสมาภูเก็ตก็อย่าส่งข่าวบ้างนะคะ กับท่านอัยการชาวเกาะก็พอจะแอบ ๆ รู้จักท่านบ้างคะ (ในฐานะคนตัวน้อย ๆ นะคะ)

แพลนว่าอยากจะไปอินเดียอีกค่ะ แต่ว่ายังขาดแคลนปัจจัยอยู่ 555++

สวัสดีค่ะคุณคนเคยไปอินเดีย

บางทีคนเราก็เหงาไม่เข้าใจนะคะ

พักสักหน่อย อีกไม่นานความเป็นเราคนเดิมๆก็จะกลับมาค่ะ

เป็นธรรมดาของคนเราค่ะ

ขอบคุณค่ะ ที่ติดตามอ่านบันทึก

ก็เเขียนไปตามเรื่องตามราว

บางครั้งนึกอยากจะเขียน จะแต่งมันก็ออกมาเอง

บางครั้งก็หยุดยาว และที่สุดก็คิดถึงเอง

คนอยากไปอินเดีย ต้องมีใจที่เป็นพิเศษ

เพราะเท่าที่ชักชวนเพื่อนๆ ไม่มีใครอยากไปเลย

แค่สิบวันก็ทำอิดออดแล้ว

ในส่วนตัวอยากไปเป็นอาสาสมัครอีก

เป็นความรู้สึกที่ดี มีคุณค่าต่อตัวเองมาก

เหมือนชีวิตเราบินออกนอกเส้นทางได้เลยค่ะ

ลองวางผังใหม่ดูนะคะ

ที่จะไปอินเดียแบบไม่ใช่แค่ไปเที่ยว

ไปอย่างคนเก่าของที่นั่น

บางทีเส้นทางที่จะไปอาจสว่างไสวขึ้นมาทันทีก็ได้

พูดไป พูดมา แล้วก็คิดถึงอินเดีย

คงมีแต่เราที่คุยกันเข้าใจนะคะ

อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง ยิ้มหน่อยนะคะ แล้วมาคุยกันอีก

ใจจริงอยากไปเป็นอาสาสมัครนะคะช่วยงานอะไรก็ได้ตามความสามารถของเรา แต่เวลาของการทำงานไม่สามารถจะอยู่ยาวได้ แค่ 10-12 วัน ก็เต็มที่ของการลาแล้วค่ะ อยาะเป็นอิสระจากภาระหน้าที่การงานประจำ จะได้โบยบินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระค่ะ แต่ว่าภาระของสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างไว้ ยังปลดเปลื้องไม่หมด เลยได้แต่ลุ้น ๆ อยู่อย่างงี้แหละค่ะ...อยากจะมีอารมณ์เขียนสารคดีเชิงท่องเที่ยวต่อนะคะ คือไปวังเวียง หลวงพระบางเวียงจันทน์มาเมื่อช่วงสงกรานต์แต่ก็ยังไม่สามารเข็นออกมาได้แม้แค่ตัวอักษรเดียว555++

สวัสดีค่ะคุณคนเคยไปอินเดีย

เป็นการจัดสรรเวลาแห่งชีวิตจริงๆค่ะ

กับการไปสร้าบุญกุศล

ซึ่งการลังเลก็ทำให้เราช้าไป

อาจช้าไปเป็นชาติเลยค่ะ

แต่ก็ต้องมีการอธิษฐานให้ดี

จะพบทางสว่างเอง

คนมีความรู้ แต่ไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง

เหมือนหนังสือหุ้มพลาสติกเลยค่ะ

ใครจะแย้มอ่านก็ไม่ได้

สุดท้ายหนังสือก็เก่า คนอยากอ่านก็ลืม

น่าเสียดาย

เขียนไปเท่าที่อยากเขียน ไม่ต้องตั้งใจมาก

เพราะคนอ่านก็จะเกิดอารมณ์ตามตัวอักษรเราแหละค่ะ

สู้ๆนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท