มีคุณครูท่านหนึ่งมาพูดให้ผมฟัง โดยเปิดเผยความลับของตน และบอกว่าอยากฟังความคิดคุณครูท่านอื่นด้วย ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน เลยอาสามาถามคุณครูในบล็อกนี้ โดยผมบันทึกทุกคำพูดของเธอ ด้วยใจความว่า...
... เมื่อคืนก่อน ตอนที่เธอกำลังทำหลักสูตรใหม่อยู่ ประมาณเวลา 24.00 น. เธอก็ได้หยุด แล้วคิดได้ว่า นับแต่วันที่เริ่มสอนคณิตศาสตร์มาตั้งแต่อายุ 19 ปี จนถึงเวลานี้ อายุ 51 ปี วันเวลาผ่านไป 32 ปี เธอมีความมั่นใจอยู่ 3 ประการด้วยกันว่า
1. เธอยังใช้วิธีสอนแบบเดิมมาตลอด คือ อธิบาย
ให้ฝึกปฎิบัติ ให้ศึกษาด้วยตนเองแล้วมานำเสนออภิปรายกัน ให้เพื่อนช่วยเพื่อน ให้ทำโครงงาน ถึงแม้ว่าเธอจะผ่านการอบรมพัฒนาทางวิชาชีพมามากมายหลายหลักสูตรเป็นประจำทุกปีก็ตาม และเท่าที่สังเกต เพื่อนครูคนอื่นก็ไม่ต่างไปจากเธอ
2. เธอมีเวลาอยู่กับลูกศิษย์น้อยลง ทั้งๆที่ก็ไปถึงโรงเรียนตั้งแต่ 7.00 น. และกลับบ้านเย็นค่ำทุกวัน โดยแต่ละวันทำงานตลอดทั้งวัน ทั้งงานวิชาการ งานธุรการ งานกิจการนักเรียน และงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่พอกลับมาบ้าน ก็งงๆ ตอบไม่ได้ว่าวันนี้ทำอะไรให้นักเรียนโดยตรงบ้าง
3. เธอมั่นใจว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนเมื่อ 30 ปีที่แล้วสูงกว่าปัจจุบันมาก…
สวัสดีคะอาจารย์
เห็นด้วยนะคะแต่ก่อนครูคือครูคะ
ตอนนี้ครูมีหน้าที่หลายอย่าง
เห็นด้วยครับ แต่เราจะช่วยกันอย่างไรดี มีข้อเสนอแนะบางประการ ดังนี้
1. ลดภารกิจที่ไม่ใช่งานครู เน้นงานการจัดการเรียนการสอนของครู
2. ปรับเปลี่ยนวิธีการพัฒนาครูแบบเดิมๆ เช่น ใช้โรงแรมเป็นฐาน โดยหวังว่าครูจะนำไปใช้ แต่...ลองหันมาจัดการพัฒนาครูโดยยึดโรงเรียนเป็นฐาน (school Based Training : SBT) ลักษณะพัฒนางานสอนในภาวะปกติ ส่งเสริมสนับสนุนเขี้ยว เล็บหรือติดอาวุธให้ครู เช่น สื่อ เครื่องมือ เทคนิค วิธีการที่เหมาะสม ฯลฯ
3. ผู้บริหาร ดูแลสวัสดิภาพ สวัสดิการ ขวัญและกำลังใจ เสริมแรงที่ดี ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารฯ มีค่อนข้างน้อย
ยุคหลังๆ มานี้ คนที่เข้ามาเป็นครูด้านเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครูหรือจิตวิญญาณครู มีน้อยลง เมื่อเทียบกับครูยุคก่อนๆ นะครับ
เห็นด้วยกับอาจารย์สมจิตอย่างมาก และอยากได้ผู้บริหารที่สามารถใช้ SBM ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ครูจะได้มีความสุขทุ่มเทกับการสอน ไม่ใช่คอยดึงครูเก่งออกนอกห้องสอน จนครูรู้สึกว่า "งานสอนคืองานอดิเรก" ซึ่งทางกระทรวงก็ต้องกระจายอำนาจจริงๆ ไม่ใช่ยังสร้างงานให้โรงเรียนทำไม่เว้นแต่ละวัน แล้วเมื่อไรโรงเรียนจะคิดเป็นเสียที
เห็นด้วยจริง ๆ ดิฉันเคยเป็นนักเรียนมา (ทุกคนก็เป็น) แล้วทุกวันนนี้แม้ไม่ได้เป็นครู แต่ก็มีสามีเป็นครู และทำงานอยู่ในวงการศึกษา วัน ๆ ก็พบแต่ครู และเรื่องราวของนักเรียน ไม่เห็นด้วยอย่างมากเรื่อง ให้ครูทำงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนหนังสือ ไม่เกิดผลดีทั้งต่อครู นักเรียน และประสิทธิภาพของงาน ทำไม ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจึงไม่แก้ไขปัญหานี้ ทั้ง ๆ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากมาย เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการเรียนการสอน และเยาวชนของชาติก็พียงพอแล้ว เมื่อไหร่น๊า..... ที่ครูจะกลับมาเป็นครูในดวงใจของนักเรียน เหมือนอดีตที่ผ่านมา
สวัสดีค่ะท่านธเนศ
ขอแชร์ประสบการณ์ด้วยนะคะ
เห็นด้วยกับท่านอาจารย์สมจิต ในเรื่องลดภาระอื่นที่ไม่ใช่งานสอนของครูให้น้อยลงหรือให้ครูมีหน้าที่สอนอย่างเดียว และที่สำคัญ ครูต้องครบชั้นด้วยนะคะ เวลาออกนิเทศโรงเรียนสงสารคุณครูมากเลย ครูหนึ่งคนต้องสอน 1 ช่วงชั้น ทั้งโรงเรียนมีครู 2 คน กับ ผอ.อีก 1 คน แล้วจะหาคุณภาพหรือผลสัมฤทธิ์ที่พึงพอใจได้จากที่ไหน หน่วยเหนือควรให้ความสำคัญในเรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยถามหาคุณภาพ
ปัญหาทั้งหมดน่าจะมาจากสาเหตุใหญ่คือ การบริหารจัดการทั้งระบบขาดประสิทธิภาพ ยังเป็นระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบอุปถัมภ์ และคนในวงการยังขาดคุณภาพ
การปฏิรูปการศึกษารอบสอง อยากฝากพ่อครูใหญ่ช่วยกระทุ้งตรงหัวใจของการปฏิรูปฯจริงๆ คือการปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอน การปฏิรูปที่ช่วยครูและเอื้อต่อการเรียนการสอน มากกว่าการมุ่งปฏิรูปเฉพาะด้านโครงสร้าง เล่นเก้าอี้ดนตรี แย่งตำแหน่ง เช่น รอง ผอ.เขต เป็นโหลๆ คงปฏิรูปที่ได้เพียงโครงร่าง แต่ไร้วิญญาณหรือไร้สาระ ครับ
ถ้าเราได้ครูเก่ง ครูดี และดูแลให้ขวัญกำลังใจ สวัสดิการที่ดีแก่เขา ให้เขาได้ทำงานอย่างมีความสุข การศึกษาก็ดีขึ้นเอง รัฐลงทุนก่อสร้างสิ่งต่างๆมากมาย แต่ไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่ตรงจุดจริงๆอย่างต่อเนื่อง พูดเรื่องนี้ก็นึกถึง ดร.ดิเรก พรสีมา ขอเชียร์แนวคิดท่านสุดๆเลยครับ