กาลเวลาที่พัดพาสรรพสิ่งให้เปลี่ยนไป ชื่อว่าเป็นตัวแปรอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อความรู้สึกของคนเรา ทำให้เกิดเป็นภาพของอดีตและปัจจุบัน ตลอดถึงอนาคตตามที่ชาวโลกเข้าใจกัน
เมื่อเวลาที่ได้พัดพาสิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่ตลอดเวลา เราจึงเริ่มรู้สึกต่อสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับตน ก่อให้เกิดความรู้สึกรักและชังต่อสิ่งเหล่านั้น กระทั่งเป็นความคิดหนึบด้วยความหลง จนแกะไม่ออกจากความรู้สึกที่ถูกตีตรา
ต่อเมื่อมีคนมาทักท้วงว่า อย่ายึดติดกับเวลาเหล่านั้นเลย เพราะเวลาเป็นแค่เพียงภาวะหนึ่งที่ผ่านมาแล้วที่ผ่านไป แต่เราก็ไม่สามารถที่จะถอนตัวออกจากสิ่งสมมติที่เกิดขึ้นได้ กาลเวลาจึงได้ครอบงำตัวเราและสรรพสิ่งโดยอัตโนมัติ
ทว่าสำหรับคนฉลาดจะมีมุมมองในเรื่องนี้ว่า การที่เวลาหมุนสิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มาคอยฉุดรั้งชีวิตให้ตกต่ำ แต่เป็นสิ่งที่ผ่านมาเพื่อทำชีวิตให้เข้มแข็ง และสอนให้เรามีความพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจต่างหาก
ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้เสมอว่า จงใช้ชีวิตและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัจจุบันอย่างเข้าใจ ประหนึ่งว่าแต่ละขณะเป็นชีวิตสุดท้ายของเรา เพราะความจริงที่เรามีอยู่ก็คือเวลาที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น
ทว่าด้วยเหตุที่เรามักมองว่า การอยู่กับปัจจุบันโดยทิ้งอดีตและอนาคต จัดเป็นพวกที่มีวิสัยทัศน์คับแคบ ไม่รู้จักมองการณ์ไกลที่จะก้าวไปให้ถึงสิ่งที่ดีกว่า ชีวิตจึงไร้ความหมายให้จดจำ
แต่มุมมองของคนที่เข้าใจความจริงของสรรพสิ่ง กลับมองว่าปัจจุบันนั่นแหละชีวิตที่แท้จริงของคนเรา เพราะอดีตเป็นเรื่องของกาลเวลาที่ผ่านมาแล้ว ทุกความรู้สึกที่ว่าดีหรือร้ายก็ชื่อว่าเป็นเพียงเหตุการณ์เสมือนฝันที่ไม่อาจย้อนคืน
ส่วนอนาคตก็ชื่อว่าเป็นเพียงมโนภาพที่คิดว่าน่าจะเป็นความจริงในรูปแบบของความคิด ทุกอย่างที่ปรากฎในรูปของอนาคต ก็ไม่ต่างอะไรจากความฝันที่ยังไร้ตัวตน
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและความน่าจะเป็นในอนาคต จึงมีความหมายแค่สิ่งเตือนใจให้เราได้จดจำ หรือเป็นสิ่งที่เราอยากให้เป็นเท่านั้นเอง เพราะทุกอย่างก็ยังพร่ามัวจากความจริงที่ต้องรับรู้เช่นเคย
แต่สำหรับปัจจุบันเป็นความจริงที่เราสัมผัสได้ ทุกความรู้สึกที่ผุดขึ้นหรือดับไปสามารถสัมผัสได้ด้วยใจ และสามารถแก้ไขในสิ่งที่บกพร่องให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้
เป็นความจริงที่แต่ละคนสามารถที่จะเกี่ยวข้อง และเรียนรู้ที่จะให้ชีวิตที่อยู่ดำเนินไปตามวิถีที่ต้องการได้ โดยมีการลงมือทำแต่ละขณะเป็นคู่มือนำทาง
ดังนั้น เมื่อต้องการให้ตัวเองมีความสุขบนพื้นฐานของชีวิตจริง สิ่งที่ควรจัดระเบียบให้กับตัวเอง ก็ควรเริ่มต้นที่ปัจจุบันเป็นหลัก โดยอาศัยการทำความเข้าใจในรายละเอียดที่มีอยู่แต่ละขณะ ด้วยปัญญาที่ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม
เป็นปัญญาที่มองเห็นความจริงอย่างเข้าใจ มิใช่ความลวงที่หลงเข้าใจว่าเป็นความจริงเช่นวันวานที่ผ่านมา แล้วเราจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตมีเพียงปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นสมบัติที่เราควรใส่ใจ
เพราะปัจจุบันขณะเป็นเครื่องรับประกันว่า เราจะมีคุณค่าพอที่จะเห็นความสุขที่แท้จริงได้ พร้อมกับการสานต่อความสุขในปัจจุบันที่มี เพื่อเคลื่อนไปสู่ความสุขที่ชาวโลกคาดหวังว่า "มันคืออนาคตที่รออยู่"
โปรดเรียนรู้ชีวิตโดยมีปัจจุบันเป็นเกณฑ์วินิจฉัย แล้วความสุขและความจริงที่สัมผัสได้ ก็จะผลิดอกออกผลที่งดงามตลอดไป
มีวัดแห่งหนึ่งอยู่ติดกับชายทะเล ซึ่งมีชายหาดที่ขาวสะอาดและสวยงามมาก ในแต่ละวันจะมีทั้งพระและผู้สนใจปฏิบัติธรรมออกมาเดินรับลมทะเลทุกวัน ถือว่าเป็นการใช้ธรรมชาติเพื่อผ่อนคลายจิตใจไปในตัวด้วย
อยู่มาเช้าตรู่วันหนึ่ง มีชายหนุ่มชาวบ้านกำลังเดินเล่นอยู่ที่ชายหาด เขาสังเกตเห็นอาจารย์เซนกำลังจับปลาที่เกยตื้นอยู่บนชายหาด แล้วนำไปปล่อยลงในน้ำตามเดิม จึงเดินเข้าไปหาแล้วถามท่านว่า
"ท่านทำอย่างนี้เพื่ออะไรครับ ?"
อาจารย์เซนจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม พร้อมยิ้มให้และตอบอย่างอารมณ์ดีว่า
"ปลาที่เกยตื้นเหล่านี้ ถ้าหากอยู่บนชายหาดอย่างนี้ พวกมันก็จะตายหมดเพราะถูกแดดเผา"
"แต่ชายหาดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา และปลาก็เกยตื้นเป็นจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ความพยายามของท่านจะมีประโยชน์อะไร"
ในขณะที่ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย อาจารย์เซนก็มองที่มือของตัวเองที่กำลังถือปลาอยู่ ครั้นแล้วก็โยนปลาลงไปในทะเลพร้อมกล่าวว่า
"อย่างน้อยปลาตัวนี้ก็คงจะไม่ตาย และการกระทำขณะนี้ก็ชื่อว่ามีประโยชน์อยู่บ้างมิใช่หรือ"
ว่าแล้วท่านก็เดินเก็บปลาที่เกยตื้น แล้วก็โยนปลาเหล่านั้นลงทะเลตามเดิม โดยมีสายตาของชายหนุ่มตามในสิ่งที่ท่านกำลังทำอย่างงุนงง
......................................................................................................................................
การอยู่กับปัจจุบันเป็นวิธีการวาดฝันที่งดงามที่สุด ไม่นำอดีตมาทำลายปัจจุบัน และไม่นำอนาคตข้างหน้ามาทำให้ปัจจุบันไม่มีความสุข เหมือนใคร ๆ ชอบพูดว่า "จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด" นั่นแหละคือหลักการตามที่ท่านชุติปัญโญอยากสอนพวกเรา
ผมเองก็กังวลใจไม่น้อยทุกขณะที่คิด นำเรื่องราวต่าง ๆ มาผสมปนเปกันจนทำให้คิดหาทางออกและความสุข ... มองไม่เห็น ยอมรับว่า อย่างไรก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่บางครั้งก็หลงยึดติดเรื่องทุกข์เหล่านี้เช่นกัน
ในทุก ๆ วันเพียรใช้ชีวิตให้เป็นบัวปริ่มน้ำบ้าง ก็ถือว่า มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตของตัวเองแล้ว
บุญรักษา ทุกท่านครับ :)
......................................................................................................................................
แหล่งอ้างอิง
ชุติปัญโญ (นามแฝง). ชีวิตวันนี้ที่วุ่นวาย มีที่พักใจหรือยัง ?. พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2551.
นิทานปลาดาว...
เป็นวรรณกรรมคลาสสิกในความคิดผมนะครับ ผมปลุกปลอบกัลยาณมิตรหลายท่าน และตัวเองด้วยครับ ในวันที่ท้อแท้ เกือบจะพ่ายแพ้...
การเพียรทำดีในเงื่อนไขที่เราสามารถทำได้ ผมคิดว่าเรา "ควร" ทำอย่างยิ่งครับ คงไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร แต่ขอให้ทำไปด้วยจิตกุศลอันบริสุทธิ์ และความตั้งเพื่อจะทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง
แม้จะน้อย แต่ก็หนึ่ง และงาม
เราหลงไปกับอดีต และขณะเดียวกับเราก็กังวลเรื่องอนาคต ทำให้ปัจจุบันเราไม่มีความสุขที่ควรจะเป็น หากปฏิบัติได้ตามที่บันทึกไว้ในบันทึกนี้คงคลายรุ่มร้อนลงมากทีเดียวครับ :)
ขอบคุณครับบันทึกที่ดีครับผม
ตามมาหยิบปลาน้อยกลับลงสู่ท้องทะเลด้วยคนครับ
ขอบคุณครับ
:)
ขอบคุณมากครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร :)
เพียรธรรม และ ทำดี นะครับ
ยินดีและขอบคุณครับ คุณพิทักษ์ :)
ขอบคุณมากนะคะสำหรับบทความดีๆ ช่วยได้มากเลยค่ะ ^_^
ยินดีครับ คุณ วชิราภรณ์ :) ... ขอให้กำลังใจนะครับ
ทุกอย่างที่พูดมาคือสัจธรรมแต่จะสักกี่มากน้อยที่จะเข้าใจ
หากดวงตาเห็นธรรมกันหมด คงมิใช่มนุษย์แล้วครับ คุณ ภูริชญา ;)
ขอบคุณครับ