น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่ได้จากไขมันในปลา เนื้อปลา หรือ อวัยวะ เช่น ตับปลา หรือ จากหอย
ในรูปแบบของ กรดไขมัน โอเมก้า 3
และ เป็น กรดไขมันที่จำเป็น
ไขมันเหล่านี้ต่างจากไขมันที่ได้จากสัตว์อื่น
กรดไขมันที่สำคัญมี 2 ตัวคือ EPA และ DHA
ทั้งคู่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีในพืช เช่น น้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด
น้ำมันถั่ว
น้ำมันคาโนลา
น้ำมันมะกอก
น้ำมันแฟลค
น้ำมันเมล็ดทานตะวัน
น้ำมัีนปลาที่ได้จากปลาที่อยู่ในทะเลที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ปลาแซลมอน
ปลาคอด ปลาเทร้าท์ ปลาทูน่า ปลาแมคคอเรล
มี EPA และ DHA มาก เนื่องจากห่วงโซ่อาหาร เริ่มจากพืชในทะเลขนาดเล็ก ไฟโตแพลงตอน มีกรดไขมันทั้ง2 สูงมาก เมื่อปลาเล็กกินเข้าไป แล้วปลาใหญ่มากินปลาเล็กจึงเป็นการนำกรดไขมันเหล่านี้มาผ่านโซ่อาหารสู่ปลาใหญ่ ห่วงโซ่อาหารนี้เกิดเป็นปฐมในปลาที่อยู่ในน้ำเย็น
ผู้เขียนได้ข้อมูลว่า ปลาที่คนไทยรับประทานก็มี โอเมก้า 3 ทั้ง 2 ตัวสูงเช่นกัน แม้ไม่ได้อยู่ในน้ำหนาวเย็นก็ตาม ได้แก่
ปลาทู ปลาช่อน ปลาสวาย
กล่าวว่าปลาทูขนาดปานกลาง 1 ตัวก็มีปริมาณ โอเมก้า 3 เพียงพอต่อการป้องกันหลอดเลือดแข็ง (ควรรับประทานบ่อย)
ข้อสรุปของ สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน AHA เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2545 และได้ตีพิมพ์ ในวารสาร Circulation ฉบับเดืิอน พฤศจิกายน 2545
" กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รบการศึกษาทางระบาดวิทยาและการทดสอบทางคลินิคแล้วว่า มีผลทำให้อุบัติการของโรคหัวใจ และ หลอดเลือดลดลง พบว่าบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด จะได้ผลดีจากการรับประทานกรดไขมัน โอเมก้า 3 จากสัตว์น้ำ หรือพืช แม้ว่าการรับประทานปริมาณเท่าไร จะยังไม่สามารถกำหนดได้ แน่ชัดก็ตามแต่จากการศึกษาที่ผ่านมาแนะนำว่ากรดไขมัน อีพีเอ และ ดีเอชเอ ควรได้รับ 0.5 -1.8 กรัม ต่อวัน สำหรับ โอเมก้า 3 จากพืช ควรได้รับประมาณ 1.5-3 กรัม ต่อวัน โดยมีผลที่เป็นประโยชน์ ทำให้ลดการเสียชีวิตจากโรคหัวใจหรือโรคอื่น ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ"
รายงานต่าง ๆ สนับสนุนข้อแนะนำทางโภชนาการของ AHA ที่แนะนำให้รับประทานปลาโดยเฉพาะปลาที่มีไขมันมันมาก สัปดาห์ละ 2 มื้อ และควรเสริมด้วยอาหารที่มีน้ำมันพืช เช่น
น้ำมัน คาโนลา ถั่วลิสง วอลนัท และ แฟลคซีด หรือ ผลวอลนัต และเมล็ดแฟลกซีด
น้ำมันปลาบรรจุ Capsule ควรเป็นชนิด Phamaceutical Grade
(หลอดเลือดแข็ง ตีบตัน ป้องกันได้ :ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมันปลา โอเมก้า 3 ; ศ.นพ. เฉลียว ปิยะชน)
ไม่มีความเห็น