ผมได้มีโอกาสอ่านมุมมองของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในเรื่อง "สังคมอุดมศึกษา" จาก "มติชนสุดสัปดาห์" เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ...
ขออนุญาตเลือกนำเสนอเป็น 2 3 ตอนนะครับ เพราะเนื้อหาและวิธีคิดของอาจารย์เขียนไว้ยาวพอสมควร
ผมเคย "อ่าน" (read for) ประวัติศาสตร์อินโดนีเซียระหว่างที่ศึกษาในมหาวิทยาลัย และพบด้วยความประหลาดใจว่า ในสมัยประธานาธิบดีซูการ์โน นักศึกษาอินโดนีเซียใช้เวลาเฉลี่ย 6 ปีขึ้นไป เพื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
เหตุผลก็เพราะว่า ในสมัยนั้นไม่ค่อยมีตำแหน่งงานให้บัณฑิตมากพอ ถึงรีบจบไปก็เตะฝุ่น จึงสู้ใช้เวลาเตะฝุ่นในมหาวิทยาลัยไม่ได้โดยเรียนไปและรับงานจ๊อบไปเรื่อย ๆ ดีกว่า เพราะงานประเภทนี้หาได้ง่ายกว่าในฐานะนักศึกษา
ไม่นานมานี้ ผมได้ยินข่าวว่า รัฐบาลหรือใครในรัฐบาลสักคน (เวลานี้เรามีรัฐบาลที่เป็นองค์กรเดียวหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจน่ะครับ) ท่านกำลังจะหาเงินมาสนับสนุนให้บัณฑิตได้เรียนต่อในระดับหลังปริญญาตรี เพื่อลดจำนวนของบัณฑิตเตะฝุ่นลง
และนี่คือเหตุที่ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องอินโดนีเซียสมัยซูการ์โนที่เคยอ่านมา แล้วก็นึกเลยไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่า สำคัญกว่า
เป้าหมายเดิมของการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยเฉพาะในอังกฤษและยุโรปนั้น คือ ความสามารถที่เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเรียนอะไรในระดับนี้ก็ตาม ก็ล้วนเรียนเพื่อจะได้สามารถไปเรียนเองถึงระดับไหนก็ได้ที่ตัวพอใจ
ไม่เฉพาะแต่เรียนเองได้ในวิชาที่เรียนมาเท่านั้นนะครับ แต่เรียนเองได้ในทุกวิชา และทุกเรื่อง เพราะรู้แล้วว่าวิธีเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ นั้น ต้องทำอย่างไร ตั้งแต่ชั้นเริ่มต้นจนปลาย
และนั่นคือเหตุที่ผมดัดจริตพูดว่าเคยไป "อ่าน" ประวัติศาสตร์อินโดนีเซียในตอนต้น เพื่อให้ตรงกับสำนวนโบราณของอังกฤษว่าไปเรียนเอาวิชาในมหาวิทยาลัย การไปมหาวิทยาลัยคือไป "อ่าน" หรือไปเรียนเอง มหาวิทยาลัยเพียงแต่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนเองไว้ให้ เช่น ห้องสมุด และผู้รู้ที่เรียกว่า อาจารย์ เท่านั้น
เมื่อผมเรียนปริญญาตรีในเมืองไทย เป้าหมายอันเป็นอุดมคตินี้ก็ยังตกค้างอยู่ในมหาวิทยาลัยไทย แม้แต่เมื่อมาเป็นครูในมหาวิทยาลัย ก็ยังได้เห็นร่องรอยของอุดมคตินี้ตกค้างอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เพราะเป็นแค่สิ่งตกค้างจึงไม่มีมหาวิทยาลัยใดคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังคงทำไปตามรูปแบบอย่างผิวเผินทั้งสิ้น เช่น เพื่อให้ศึกษาค้นคว้าได้เองเป็น เขาก็จัดสอนวิชาการใช้ห้องสมุด ซึ่งเนื้อหาวิชาตื้นเขินขนาดที่น่าจะพิมพ์เป็นเอกสารเล่มเล็ก ๆ แจกนักศึกษาที่สอบเข้าได้ทุกคนโดยไม่ต้องสอนเลย (ซึ่งก็เป็นการฝึกความสามารถในการเรียนเองอย่างหนึ่ง)
ในส่วนการเรียนการสอน กลับเรียนและสอนกันโดยไม่มุ่งจะสร้างความสามารถเรียนเอง เช่น เน้นแต่ด้านเนื้อหา ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาเป็นสิ่งที่สามารถกลับไปเปิดหนังสือดูเมื่อไรก็ได้ (และได้ความละเอียดเที่ยงตรงกว่าที่สอนในชั้นเรียน)
วิธีคิดในแต่ละวิชากลับไม่ค่อยได้รับความสำคัญในกระบวนการเรียนการสอน ฉะนั้น จึงไปไม่ถึงสมมติฐานเบื้องต้นของวิธีคิดนั้น ทำให้มองไม่เห็นจุดบกพร่องของวิธีคิดซึ่งได้มาเผิน ๆ โดยผ่านเนื้อหา
เมื่อขาดทั้งสองอย่างนี้การเรียนอะไรด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องยาก เพราะต้องงมไปกับเนื้อหาโดยขาดหลักที่จะจัดระเบียบข้อมูล เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ตนเอง
เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ยังสามารถเรียนด้วยตนเองต่อไปได้จึงหายาก ใครทำได้ (เช่น คุณจิตร ภูมิศักดิ์ หรือ ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์) ก็ต้องยกย่องเป็นพิเศษ
เพราะไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงและสมองที่ไหนมาฟันฝ่าออกไปจากกะลาที่ครอบอยู่ได้
(มีต่อ ... ตอนหน้า)
.......................................................................................................................................
ผมขอตัดตอนตรงช่วงนี้นะครับ ... ขอให้ติดตามอ่านต่อไปในตอนหน้า
ถึงตรงนี้ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่วงการศึกษา
ขอบคุณครับ :)
.......................................................................................................................................
แหล่งอ้างอิง
นิธิ เอียวศรีวงศ์. "สังคมอุดมศึกษา", มติชนสุดสัปดาห์. 29, 1489 (27 ก.พ. - 5 มี.ค.52) : หน้า 33.
แอบมาอ่านก่อนนะครับ เดี๋ยวมาใหม่ อิอิๆๆ
สวัสดีคะ ตามท่านพี่มาคะ..มาเป็นกำลังใจคะ
ขอบคุณ ท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ที่เข้ามาติดตามอ่าน :)
ขอบคุณ คุณ "เอื้อง...แสงเดือน" ที่แวะมาให้กำลังใจอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง อิ อิ (....)
ทำำอย่างไรจึงจะเป็น"สังคมอุดมปัญญา" ครับ
"สังคมอุดมปัญญา" สร้างด้วยจิตสำนึกของคนทุกคนในประเทศนี้ ครับ ท่าน ผอ. บวร :)
เรียนเชิญท่านไปอ่านบันทึก มนุษย์ คือ ผู้ทำลายโลกด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง (ด้วยความสะเทือนใจ)
ท่านคิดว่า อุดมปัญญาหรือไม่ครับ ?
และเมื่อไหร่กันครับ เมื่อไหร่ ...
สวัสดีค่ะ แวะมาอ่านค่ะ
ถ้าการหัดกินข้าวด้วยช้อนแทนการป้อนของเด็ก เริ่มต้นที่ อายุ ขวบ สองขวบ
การให้เด็กหัดกินความรู้ด้วยตนเอง ก้งต้องเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นๆ ละกระมังคะ
แต่จะว่าไป...
มองไปมองมาก็วนมาที่เดิม..ที่คำว่าระบบและสังคม โอ้วว ม่ายยน้าาาา
สบายดีนะคะ
อากาศร้อน อย่าร้อนตามอากาศนะคะ อิอิ
- สมองในส่วนของการคิดไม่ได้
รับการพัฒนาเท่าที่ควร
ทั้งสองประการนี้เด็กจะได้จาก
บ้านมากกว่าโรงเรียน
paaoobtong
9/3/52
20:53
สวัสดีครับ น้องอาจารย์ หัวใจติดปีก :)
วันนี้เปิด SUMMER เป็นวันแรกครับ ... อากาศยังร้อนเหมือนเดิม + ควันพิษกล่อมให้เป็นโรคได้มากมาย
"ระบบและสังคม" ก็ต้องเริ่มจากตัวเราเอง วิธีคิดของเราเอง ก่อนครับ
สู้ สู้ พี่เป็นกำลังใจให้เสมอนะ :)
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ paaoobtong :)
ตราบใดที่เรายังเหลือความหวัง การศึกษาบ้านเราคงมีโอกาสรอดครับ
แต่เจ็บปวดกับคนที่เรียกตัวเองว่า "นักการศึกษา" แต่ทำอะไรไร้เหตุผล คิดทำตามตัวอย่างประเทศโน้นที ประเทศนั้นที แต่หามีแววในตาไม่ น่าหนักใจครับ
"ครอบครัว" เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้และการพัฒนาคน จริง ๆ ครับ
ขอบคุณอาจารย์ที่แวะมาแลกเปลี่ยนครับ ยังเหลือบันทึกนี้อีก 2 ตอน ครับ อาจารย์อย่าลืมติดตามต่อนะครับ :)
การฝ่านอกกรอบ ของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ และมีมาเดิม ยากครับ ผมพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ก็ต้องทำต่อไป ^^