เมื่อวันที่ 17 - 18 เมษายน 2549 ดิฉันได้รับเชิญให้ไปแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับ "คุณอำนวย" ซึ่ง สคส. เป็นผู้จัดขึ้น ก็ต้องขอขอบคุณองค์กรดังกล่าวที่เปิดโอกาส และขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ และ น้องๆ ทุก ๆ คนนะค่ะ ที่ได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของแต่ละท่านให้ฟัง
ในความคิดของดิฉันกับหนึ่งปีที่ได้ติดตาม "การจัดการความรู้" (ปี 2548) ที่ผ่านมา ก็เป็นได้แต่เพียงผู้แอบชื่นชมกับ "เครื่องมือ" ชิ้นนี้ที่มีชื่อว่า "KM" ที่ถูกนำเข้ามาใช้ในองค์กรของเรา
ส่วน ความคิดของการเข้าร่วมทำงานหกเดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม - มีนาคม 2549) กับเครื่องมือ "KM" กลายเป็นโอกาสของการนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการรวบรวมและจัดการให้เจ้าหน้าที่เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ตามเป้าประสงค์ที่กำหนด
หลังจากนั้น บนถนนเส้นทางเดินของ "โอกาส" ที่ได้ทดลองสัมผัสกับเครื่องมือ ซึ่งเป็นอีกชิ้นหนึ่งของอาวุธ เช่น
1. ใช้เป็นตัวกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นความสำคัญของการสนทนาแลกเปลี่ยน โดยถ้าเรามี ขุมทรัพย์ความรู้เป็นของตัวเรา ก็ยิ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมากมายและตลอดเวลา
2. ถ้าเรามีคลังความรู้ของตนเอง ของกลุ่ม และขององค์กร ก็สามารถสร้างเป้าหมายงานได้ชัดเจนขึ้น เพราะมี "จุดบ่งชี้" ความเป็นไปได้ของการเดินหรือ Road Map
3. ไม่ว่าจะจัดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้กันที่ไหน เวลาใด เราก็ไม่อับจน เพราะเรารู้จริง เรารู้จากการปฏิบัติและลงมือทำด้วยตนเอง
วันแรก (17/04/49) ได้รู้จักและมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 30 คน ได้เห็นรูปร่างหน้าตาและบุคลิกของแต่ละท่าน และที่สำคัญได้ฟังเรื่องเล่า เทคนิค วิธีการนำเสนอ และการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ส่วนภาคค่ำ ได้ชม VCD จำนวน 3 เรื่อง โดยเฉพาะของโรงพยาบาลบ้านตาก ทำให้เห็น KM ชัดขึ้น โดยเฉพาะการสรุปนิยามของ "การจัดการความรู้ คือ การนำความรู้ในเรื่องเดียวกันของคนหลาย ๆ คนมาแชร์กัน เพื่อทำงานอะไรสักชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ" (จากการถอดคำพูดของเจ้าหน้าที่ใน VCD)
วันที่ 2 (18/04/49) แบ่งกลุ่มและเข้ากลุ่มย่อยเพื่อระดมความคิดและหาข้อสรุปเกี่ยวกับ "แนวทางและการทำงาน KM" เช่น การรวมตัว ช่องทาง และกิจกรรมที่ควรจะเกิดขึ้นถ้ามาพบกันอีก หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มนำผลมานำเสนอในกลุ่มใหญ่ โดยใช้เวลา ครึ่งเช้า ส่วน ภาคบ่าย ได้เริ่มจากการทำ AAR และ เวลา 15.15 น. ปิดเวทีคุณอำนวย โดย ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช ซึ่งท่านสรุปและปิดเป็นปรัชญา ที่ดิฉันจับประเด็นได้ 3 ข้อ คือ
ข้อที่ 1 งานสำเร็จเมื่อเห็นคนเดินร่วมทาง
ข้อที่ 2 งานสำเร็จเมื่อเห็นคนเรียนรู้
ข้อที่ 3 งานสำเร็จเมื่อได้ให้โอกาสคนอื่นทำหรือเรียนรู้
ดังนั้น ถ้าความเป็น KM จะอยู่หรือจะไปนั้นคงจะอยู่ที่....
1. ผู้ใช้ที่ว่า "ถ้าเห็นว่าเครื่องมือชิ้นนี้มีประโยชน์สำหรับตัวท่าน.....แล้วท่านจะทิ้งมันทำไม"
2. ผู้บริหารที่ว่า "ท่านคือ ผู้นำองค์กรไปสู่การพัฒนาแห่งสากล ถ้าท่านเห็นว่าเครื่องมือชิ้นนี้สามารถผลักดันและเป็นกลไกให้เกิดการพัฒนาตัวเจ้าหน้าที่ กลุ่ม และองค์กร ได้อย่างแท้จริงแล้ว ท่านจะไม่ค้นหาและหยิบมันไปใช้เชียวหรือ?"
ฉะนั้น คงจะอยู่ที่ "จิตสำนึก" แล้วละว่า.....ตกลงแล้วท่านจะค้นหาเครื่องมืออะไรมาใช้ทำงานพัฒนากัน.
ศิริวรรณ หวังดี
20 เมษายน 2549