รถเสีย ใจต้องไม่เสีย...


 

วันนี้ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒ เป็นอีกวันหนึ่งที่เราเองได้พิสูจน์จิตใจแห่งการ “ภาวนา...”

ช่วงเที่ยงของวันนี้เราเองได้เริ่มออกจากอำเภอเด่นชัย จ.แพร่ โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ธรรมารามในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


การเดินทางจากเด่นชัย ผ่านอุตรดิตถ์ พิษณุโลก ต้องมาหยุดชะงักเมื่อเลี้ยวผ่านแยกอำเภอวังทองไปได้ประมาณ ๕ กิโลเมตร เนื่องจาก “กากบาทเพลากลางแตก”

ตอนนั้นรถเราวิ่งอยู่ด้วยความเร็วกว่า ๑๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อมีเสียงผิดปกติดังขึ้นค่อนข้างดังที่ตัวถังด่านล่าง โชเฟอร์ก็รีบนำรถเข้าข้างทางทันที
ตอนนั้นเองเราก็ได้ถามคนใกล้ ๆ ว่ามีอู่อยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้นเราก็พยายามเคลื่อนรถแบบช้า ๆ ไปให้ถึงอู่แห่งนั้น

ในระหว่างทางกว่าสองชั่วโมงกว่าเราจะเดินทางไปถึงอู่น่าแปลกที่ครั้งนี้จิตใจของเราไม่เสียตามรถที่เสียนั้นด้วย

เรานั่งชมนก ชมไม้ไป นั่งชวนคนขับรถคุยโน่น คุยนี่ คุยเรื่องสบาย ๆ ชมดอกไม้ที่สวยสดใสข้างทางไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้เราคงหัวเสียและหงุดหงิดน่าดู

 

เมื่อถึงอู่ซึ่งหายากมากเนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งอู่ส่วนใหญ่นั้นปิดให้บริการ
การซ่อมรถใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง รถเราจึงเริ่มเคลื่อนได้ต่อ เมื่อเวลา ๑๖.๐๐ น.

แต่อุปสรรควันนี้ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น
ครั้นเมื่อรถเคลื่อนผ่านอำเภอปากช่อง บ่ายหน้าเข้าเส้นทางสู่เขาใหญ่ ปรากฏว่าตอนเบรคล้อเกิดอาการล็อคและเซไถลเข้าไหล่ทางข้างซ้าย จากนั้นคนขับแจ้งว่า “เบรคจม”

ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเบรค รู้แต่เพียงว่า เมื่อกดเบรคแล้วรถจะกินซ้ายเซลงไหล่ถนน
แต่ตอนนั้นเราก็ยัง “สบาย ๆ” อยู่เหมือนเดิม บอกคนขับว่า ค่อย ๆ ไป ค่อย ๆ ประคองไป

จากความเร็ว ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ค่อย ๆ ลดลงมาเหลือ ๘๐ เหลือ ๖๐ และสุดท้ายเราต้องค่อย ๆ ประคองรถไปด้วยความเร็วไม่เกิน ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ตอนนั้นรถของเราเบรคแทบไม่ได้แล้ว
นอกจากเบรคแล้วกินซ้ายแบบแทบไถลลงถนนยังไม่พอ ตอนนี้สารถีแจ้งว่า เบรคใช้การได้เพียงแค่ล้อเดียว

แต่เราก็คงยิ้มได้ ค่อย ๆ เอื้อมมือไปบิดสวิตซ์แอร์และหมุนกระจกขึ้นเมื่อสูดอากาศอันบริสุทธิ์ภายใต้กลิ่นไอของเขาใหญ่

ระยะทาง ๘๐ กิโลเมตรที่เหลือ เราใช้เวลาวิ่งรถประมาณ ๒ ชั่วโมง อันเป็น ๒ ชั่วโมงที่สบาย ๆ เพราะรถเสียแต่เราทรงใจไว้ไม่ให้เสียตามรถไปด้วย

การเดินทางที่แสนทรหดกายแต่สบายใจครั้งนี้สิ้นสุดลงเมื่อเราถึงจุดหมายเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น.
การเดินทางกว่า ๑๑ ชั่วโมงในวันนี้ ทั้งที่ต้องเจอกับรถเสียถึงสองครั้งสองครา ซึ่งยังไม่นับรวมที่หลงไปหลงมาอีกกว่าสองครั้ง  แต่จิตใจของเราก็ยัง “สบาย” ยังเข้มแข็งและปล่อยวางได้ เพราะรู้จักการประพฤติ ปฏิบัติ

ความสบายใจ การคุ้มครองใจไม่ให้เสียตามสิ่งของ หรือยานพาหนะที่เสียนี่เองคือการ “ปฏิบัติธรรม”
เมื่อของเสีย หากเราได้ฝึก ได้หัด ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ใจเราย่อมไม่เสียตามไปด้วย
ของต่าง ๆ นั้นเป็นทรัพย์ภายนอก ของภายนอกนั้นเสียได้ แต่อย่าให้ “ใจ” ซึ่งเป็นทรัพย์ภายในนั้นเสียตามไปด้วย
ประคองใจตั้งจิตไว้ด้วยลมหายใจและรอยยิ้มที่สดใส
หากยิ้มได้เราย่อมข้ามผ่านอุปสรรคด้วยความสบาย
ความสบายนี้ย่อมทำให้ประสบสุขได้ทั้งกายใจ...

คำสำคัญ (Tags): #การปฏิบัติธรรม
หมายเลขบันทึก: 245766เขียนเมื่อ 2 มีนาคม 2009 00:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม 2014 00:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สาธุ....แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุ...ต้องตั้งสติและเรียกขวัญคืนมาว่าดีแล้วเรายังไม่ตายและรีบคลานออกมาจากรถยนต์เร็วที่สุด..สดๆร้อนๆเมื่อ 1 สัปดาห์

:) ขอบพระคุณคำสอนดีดี

"ความสบายใจ การคุ้มครองใจไม่ให้เสียตาม นี่เองคือการ “ปฏิบัติธรรม”

เมื่อก่อนตอนที่ไปธุดงค์ คราวนั้นทุกข์มาก ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เดินชมนก ชมไม้ไป แต่เราทำไม่ได้ก็เลยทุกข์

กายก็เหนื่อย ใจก็ทุกข์ ช่วงธุดงค์นั้นจึงเป็นช่วงทุกข์ที่สุด ๆ แห่งชีวิต

การตั้งมั่น บากบั่น พากเพียร อันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติทางกายนั้นย่อมทำให้เกิดผลทางจิตทางใจ

เมื่อถึงคราวคันขัน คราวทุกข์ คราวที่ไร้สุข ผลแห่งการประพฤติ ปฏิบัติ ภาวนานั้นจักช่วยเราได้

ของเสีย รถเสียนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ

ใจเสีย อารมณ์เสียนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติของคนที่ไม่ได้ฝึก บำเพ็ญเพียร ภาวนา

คนที่รู้จัก "ธรรมะ" ได้ประพฤติ ได้ปฏิบัติ ใจย่อมดีอยู่ได้ แม้กระทั่งถึงคราวที่จักต้องตายจากโลกนี้ไป...

หากมีรางวัลออสก้า ในทางธรรม

กิเลส คงเอา รางวัลนี้ไปครอง

เนียน จริงๆ

คนเรานี่ก็แปลกนะท่าน รู้ทั้ง รู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง พอเป็นแล้วเป็นทุกข์

ก็ยังอยากเอา อยากเป็น

ไม่เข้าใจเล้ย

บางทีก็โง่ ตกเป็นทาสกิเลส

บางทีพอรู้ตัวมีสติ เห็นตัวเองโง่ ก็สว่าง

ไม่มีไรน่าเอา น่าเป็น ทำไม๊ จึงยากเย็นงี้ ยึดไว้อยู่นั่น จิตหนอจิต

บ่นอีกแระเรา เห็นจิตที่กำลังคร่ำครวญ บ่น

เอาเวลาบ่น มาปฎิบัติ ตามดูรุ้กายใจ ศึกษาธรรมะดีกว่า

สาธุ

ท่านกล่าวถูก

ใจเสีย อารมณ์เสียนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติของคนที่ไม่ได้ฝึก บำเพ็ญเพียร ภาวนา

คนเราบางครั้งจะตั้งใจปฏิบัติธรรม จะละ จะปล่อย จะวาง ก็กลัวจะ "เสียรส เสียชาด"

เพราะคิดว่ารูป เสียง กลิ่น รสต่าง ๆ ที่เคยได้สัมผัสแล้วนั้นดีแล้ว

ถ้าปฏิธรรมไปมาก ๆ กลัวจะเสียความสุขจากความรู้สึกที่เคยคิดว่าสุขนั้น ๆ

บางครั้งไม่กล้าจะทำความเพียรมากก็เพราะ "กลัวจะนิพพาน"

กลัวเหนื่อย กลัวป่วย กลัวง่วง กลัวร่างกายรับไม่ไหว อย่างนี้ก็เรียกว่า "กลัวจะนิพพาน"

จะสงบจิต สงบใจ ก็กลัวว่าจะไม่สุข ไม่ได้เพลิดเพลินไปตามความคิด ความฝัน

จะบอกก็บอกยาก ว่ารสชาดที่จักได้พานพบจาก "ความสงบ" ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเช่นไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็น "ปัจจัตตัง" รู้และเห็นได้ด้วยตนเอง

ไม่มีใครบอกได้ ไม่มีใครเล่าให้ฟังได้ ต้องทำเอง รู้เอง

เดี๋ยวนี้คนทำน้อย ปฏิบัติน้อย แต่รู้มาก และพูดมาก

คนยิ่งรู้มาก มักจะพูดมาก

ถ้ารู้จริง รู้แจ้งก็ดีไปอย่าง

แต่ถ้าดีแต่รู้จำล่ะก็ แย่เลย

แต่นั่นก็เถอะ... ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรมากนักกับชีวิตและจิตใจของบุคคลอื่น ที่เขาจะเป็นจะไปตามกรรมหรือการกระทำของเขา

สิ่งสำคัญ จำเป็นอย่างเร่งด่วนของเราในวันนี้ เวลานี้ก็คือ ปลดเปลื้องความโลภ ความโกรธ และความหลงออกไปจากใจของเราเอง

ทำดี ทำให้ไว ต้องทำดี ทำได้ ทำไว้สำหรับใจของเราเอง...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท