ที่มา : ผมเคยเขียนบันทึกเรื่อง “จากแผนที่เดินดิน อีกกลิ่นไอการเรียนรู้บนภูดอย” เอาไว้เมื่อกันยายน 2550 ในโกทูโนว พอดีมีคนมาอ่านเจอ และไปเล่าสู่ต่อสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งปีนี้เค้าจะจัดงานมหกรรมสุขภาพชุมชนขึ้นระหว่าง 18-20 กุมภา 52 และมีห้องย่อยที่จะพูดถึง”ประสบการณ์การใช้เครื่องมือ 7 ชิ้น : วิถีชุมชน “ จากบันทึกเล็กๆในโกทูโนว ผมก็เลยพลอยได้อานิสงฆ์ถูกเชิญไปร่วมเสวนาในเรื่องนี้
งานมหกรรมนี้ เป็นงานใหญ่ครับ ผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คน ส่วนใหญ่เป็นหมออนามัย และผู้ที่ทำงานด้านสุขภาพปฐมภูมิ (Primary Care) มีประเด็นย่อยๆที่หลากหลาย น่าสนใจ และดีใจที่ได้มาเห็นพัฒนาการของหมออนามัยในยุคนี้ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างขวาง มีการบูรณาการความรู้หลายๆสาขาเข้าด้วยกัน ส่วนเรื่องอุดมการณ์ในการทำงานกับชุมชน อันนี้ก็ยังเรียกได้ว่ามีใจเต็มร้อยกันทั้งนั้น
เรียกได้ว่า แม้ผมเป็นคนนอกวงการ ยังอดชื่นชมเครือข่ายจิตวิญญาณของหมอนามัยไม่ได้ครับ
ที่ผมถูกเชิญไปเสวนานี่ ก็ด้วยเหตุที่เป็นคนนอกสาขานะครับ ทางผู้จัดเค้าก็คาดหวังให้เราเล่าประสบการณ์อะไรที่มันฉีกแนวออกไปบ้าง ผมก็ไม่รู้ว่าไปฉีกแนวเขาเสียจนมึนตึ้บหรือเปล่า ก็หวังว่าประสบการณ์ของผมคงจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งบรรดาหมออนามัย และบุคลากรทุกสาขาที่สนใจนำเครื่องมือ 7 ชิ้น จากหนังสือวิถีชุมชน ของ นพ. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ไปใช้นะครับ
ผมไปงานนี้แบบมึนๆ คือไม่แน่ใจนักว่าจะเล่าอะไรให้ผู้เข้าประชุมฟังแล้วจะเกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะประสบการณ์มันเป็นเรื่องเฉพาะ แต่ถ้าจะเล่าก็ต้องถอดออกมาเป็นข้อมูลก่อน แล้วยกระดับเป็น “ความรู้”
ความยากของวิทยากรอย่างเราก็คือ เราไม่อยากจะเล่าแต่เรื่องของตัวเองโดยไม่ดูเนื้อหาของวิทยากรท่านอื่นๆ ผมก็คิดอยู่ในวันที่มาถึงที่ประชุมว่า ทำอย่างไรจึงจะเชื่อมโยงเนื้อหาระหว่างวิทยากรท่านอื่นๆ กับเรื่องที่เราจะเล่าได้นะ
โชคดีที่ผู้ดำเนินรายการเค้าจัดให้ผมไปพูดคนท้ายๆ ผมก็เลยได้ฟังเนื้อหาของคนอื่นๆก่อน ก็เลยคิดใหม่เลยว่า เวลาแค่สิบนาที ถ้าจะให้มาเสนอประสบการณ์โดดๆของผมนี่ คนที่ไม่มีพื้นทำงานกับเด็ก เยาวชนมาก่อนก็อาจจะมึน อาจจะเบื่อก็ได้ งั้นเรามามองภาพรวมเครื่องมือ 7 ชิ้นที่วิทยากรท่านอื่นๆเล่า แล้วเราพยายามหนุนเสริมเติมเต็มและเชื่อมโยงน่าจะดีกว่า
เครื่องมือ 7 ชิ้นที่สะท้อนภาพเสมือน
“หากเปรียบเครื่องมือศึกษาชุมชนทั้ง 7 ชิ้นเป็นกระจกที่สะท้อนแง่มุมต่างๆ แผนที่เดินดินก็เป็นกระจกอีกบานหนึ่ง ที่สะท้อนสิ่งต่างๆ ซึ่งถ้าเราหลงคิดว่าภาพนั้นเป็นของจริง แล้วเราวิ่งเข้าไปไขว่คว้า เราก็จะถูกกระจกบาดเอา”
จากประสบการณ์ที่ผมใช้แผนที่เดินดินในงานวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น-สิทธิเด็กและใช้สอนนักศึกษาวิทยาลัยชุมชนตั้งแต่ปี 2550 เครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือ ตัวคน ส่วนแผนที่เดินดิน เป็นมากกว่าเครื่องมือนะครับ คือเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์ไปสู่เรื่องต่างๆได้มากมาย ไม่เฉพาะแต่เรื่องความสัมพันธของคนกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ยังโยงใยกับวิถีการผลิต การบริโภค วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ รวมถึงเรื่องสิทธิเด็กอีกด้วย
กระบวนการที่มากกว่าใส่ความรู้ และการจัดการ คือการใส่ใจ
ถ้าทุกคนอ่านหนังสือ “วิถีชุมชน” จบแล้วออกไปใช้เครื่องมือได้สัมฤทธิผลออกมาดีเยี่ยมเหมือนกัน ผู้แต่ง (คือคุณหมอโกมาตรกับคณะ) ก็คงเป็นเทวดาไปแล้ว แต่ผมเดาใจผู้แต่งเล่นๆว่าในฐานะนักมานุษยวิทยาที่ชื่นชมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิธีคิด ก็คงไม่อยากเห็นสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาถูกแช่แข็งและตายลงไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร ความรู้จึงจะมีชีวิตชีวา ก็คงต้องใส่อารมณ์ความรู้สึก จิตวิญญาณ ลงไปในอัตราส่วนที่เหมาะสม ประยุกต์ดัดแปลงสูตรให้หลากหลาย
“แผนที่เดินดิน ไม่ได้เดินด้วยเท้า แต่เดินด้วยใจ” ครับ
บทเรียนที่ผมพบในปี 2550 ก็คือ เด็กๆจับกลุ่มลงพื้นที่ในชุมชนของตน แม้จะเป็นชุมชนตัวเอง แต่เด็กก็อาจจะไปในที่เสี่ยงได้ คือ ที่มีคนชอบกินเหล้าอาละวาด ที่มั่วสุมของวัยรุ่น ที่เปลี่ยว ผมก็ลืมคิดไป แม้จะเป็นช่วงกลางวัน ก็อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงได้ครับ
ข้อควรระวัง (เพิ่มเติม)
สำหรับผู้ใช้แผนที่เดินดินรวมทั้งเครื่องมือศึกษาชุมชนทั้ง 7 ชิ้น ข้อควรระวังอย่างยิ่งก็คือ การไปยึดติดว่ามันเป็นเครื่องมือที่ตายตัว และยังไม่ระวังด้านที่เป็น “คม” ของสิ่งที่เราใช้
ในเรื่องแผนที่เดินดิน นอกจากต้องระวังเรื่องความปลอดภัยแล้ว การที่เราลงไปสัมผัสชุมชน ก็อาจจะพบเห็นภาพหรือเรื่องราวที่ชาวบ้านเขาไม่อยากจะเปิดเผย แต่เราไปพบโดยบังเอิญ เช่นบางคนอาจจะทำตัวมั่งมีเวลาไปติดต่อราชการเพื่อให้เจ้าหน้าที่เกรงใจ แต่บ้านช่องยากจนทรุดโทรมมาก เค้าก็อาจจะไม่อยากให้เราไปเห็น อันนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาของเขาด้วย ถ้าเราไปพบแล้วเขาเกิดไม่สบายใจ ก็ควรจะเคลียร์กัน และไม่เอาเรื่องที่เขาอาจจะปกปิด หรืออับอายไปขยายต่อ นี่ก็สำคัญมากนะครับ
นอกจากแผนที่เดินดิน ก็จะเห็นตัวอย่างการใช้ผังเครือญาติ (kinship diagram) ในการสืบค้นประวัติโรค ว่ามีการสืบผ่านมาทางพันธุกรรมหรือไม่อย่างไร ซึ่งก็อาจจะมีบางกรณีที่ชาวบ้านเองเค้าก็ไม่อยากให้เราไปลำดับญาติให้เขา เพราะญาติเป็นมากกว่าการช่วยเหลือกัน ในอีกด้าน การมีญาติเยอะก็เป็นภาระ หมายถึงต้องไปอุ้มไปช่วยด้วยเกรงใจกัน บางทีก็เอาเปรียบกันโดยอ้าง “ความเป็นญาติ” ก็มีให้เห็น
การสืบค้นความเป็นญาติ ในความคิดผมมันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกันนะครับ ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม ความขัดแย้งต่างๆ บางทีชาวบ้านเขาก็ไม่อยากจะนับญาติกัน แม้ว่าเขาอาจจะเป็นญาติตามสายเลือดจริงๆ เราไปช่วยเขานับญาติ ลึกๆเขาอาจจะอึดอัด
แม้ว่าในทางการสาธารณสุขเป็นเรื่องจำเป็น แต่ถ้าเราจะใส่หัวใจความเป็นมนุษย์เข้าไป ก็คงต้องอ่อนไหวในเรื่องเล็กๆเหล่านี้
แผนที่เดินดิน ในมิติเชิงซ้อน
ผมคิดว่า “แผนที่เดินดิน” เป็นกระบวนการที่สวยงามนะครับ แต่ในหัวของบรรดาหมอนามัยนั้นผมไม่รู้ หลายท่านอาจจะมองว่า มันเป็นงานที่ overload หรือเป็นตัวชี้วัดที่สร้างความหนักใจ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ด้วยเงื่อนไขสองข้อนะครับ
ข้อ 1 ลองเปลี่ยนมุมมองต่อ “แผนที่เดินดิน” เสียใหม่ ให้มองเป็นกระบวนการที่ใช้ในการพัฒนาตัวเองจากภายใน เชื่อมโยงขยายไปสู่งานพัฒนาชุมชน คือคิดจากวงเล็กคือในตัวเราเองก่อน ตอบโจทย์ให้ได้ว่า แผนที่เดินดินมันช่วยพัฒนาตัวเราได้อย่างไร แล้วคิดเชื่อมโยงไปสู่ชุมชนท้องถิ่น และโลกกว้าง คิดอย่างนี้จะเกิดกำลังใจครับ และยังเป็นการฝึกคิดเชื่อมโยงหลายระดับ คือคิดกลับไปกลับมา ระหว่างตัวเองออกไปสู่ภายนอก และภายนอกกลับมาสู่ภายใน (จิตใจ)ของเรา แบบเชื่อมโยงกัน
ข้อ 2 กระบวนการแผนที่เดินดินควรมีควรมีความหลากหลาย และถอดบทเรียนมาเรียนรู้ร่วมกัน สิ่งที่ผมอยากเห็นคือ ในท้องถิ่นเดียวกัน หน่วยงานต่างๆนำแนวทางแผนที่เดินดินไปใช้ แผนที่เดินดินที่ทำโดยกลุ่มหมออนามัย เหมือนหรือต่างกับแผนที่เดินดินที่ทำจากมุมมองของกลุ่มแม่บ้าน เหมือนหรือต่างกับแผนที่เดินดินที่ทำจากมุมมองเยาวชน ท้องถิ่นหนึ่งๆ อาจจะมีแผนที่เดินดินหลายฉบับ เราไม่ได้มาจับผิดความแตกต่าง แต่เราสามารถจะใช้ความแตกต่างมาสร้างคำอธิบายและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
และด้วยวิธีนี้ แผนที่เดินดินจะได้ไปพ้นจากเสียงบ่นเรื่อง งาน Overload ของบรรดาหมออนามัย เพราะมันได้พ้นจาก “สมบัติของปัจเจก” กลายเป็นสมบัติสาธารณะ หรือ “ของหน้าหมู่” ไปเสียแล้ว
ต้องขอขอบคุณทางผู้จัดที่ให้โอกาสผมเป็นวิทยากร ทำให้ได้มีโอกาสลับสมอง ได้ตรึกตรองย้อนคิดในกระบวนการใช้เครื่องมือในการทำงานกับชุมชนมากขึ้น ผมก็ขอถอดประสบการณ์จากการเสวนาวันนั้นมานำเสนอไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
กระจกมีทั้งกระจกเงาที่สะท้อนแสงได้ทั้งหมด กับกระจกที่แสงทะลุผ่านได้ด้วย จึงต้องพิจารณา ให้รอบคอบในการใช้เครื่องมือใช่ไหมครับ
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณสำหรับสาระแนวคิดที่มีมาฝากในบันทึกนี้ค่ะ
“แผนที่เดินดิน ไม่ได้เดินด้วยเท้า แต่เดินด้วยใจ”
การทำการใดๆด้วยใจ นำพามาซึ่งความสุขใจ
เป็นกำลังใจในการทำงานเพื่อสังคมนะคะ
แวะมาจองไว้ก่อนครับ, แล้วจะตามมาอ่านนะครับ
โฮ้โห ไม่เคยคิดเลยน๊ะครับ ว่าจะมีคนมองต่างมุม ในเรื่องแผนที่เดินดิน
ที่หมออนามัยใช้ในการทำงาน ยอมรับครับว่ามุมที่คุณมอง แหลมคม
และคมคายด้วยเหตุผล จากคนที่ลงไปทำงานจริง ทำให้ผมเห็นภาพเลย
ขอแสดงความชื่นชมครับ จากหมออนามัยคนนึงครับ
สวัสดีครับนายนพ
เข้ามาอ่านด้วยความสนใจค่ะ ได้ความรู้ในสิ่งที่ไม่ค่อยรู้เลยค่ะ
ผลงานที่เรียบร้อย หน้าตาเป็นแบบนี้ เจ้า
สวัสดีครับคุณครูใหม่ และคุณแม่ที่น่ารัก ผมแวะไปตามดูในบล็อกแล้วนะครับ หนังสือน่าอ่านมาก อยากได้มาอ่านให้น้องออมสินฟัง จะหาซื้อได้ที่ไหนครับ
สำหรับผู้ใช้แผนที่เดินดินรวมทั้งเครื่องมือศึกษาชุมชนทั้ง 7 ชิ้น ข้อควรระวังอย่างยิ่งก็คือ การไปยึดติดว่ามันเป็นเครื่องมือที่ตายตัว และยังไม่ระวังด้านที่เป็น “คม” ของสิ่งที่เราใช้
“แผนที่เดินดิน ไม่ได้เดินด้วยเท้า แต่เดินด้วยใจ”
ข้อคิดจากครูยอดซึ่งถืดเป็นมุมมองจากคนนอกเป็นประโยชน์มากในนามตัวแทนหมออนามัยขอขอบคุณครูยอดมากค่ะ
คุณภารดีชมผมเกินไปครับ สิ่งที่ผมคิดก็ยังต้องการข้อพิสูจน์เพิ่มเติมอีกมากมาย