พลวัตเครือข่ายความรู้เพื่อการฟื้นฟูชุมชนของจังหวัดระยอง
“พลวัตเครือข่ายความรู้เพื่อการฟื้นฟูชุมชน”
เป็นโมเดลที่ผมจำลองขึ้น
เพื่อเป็นพื้นฐานของระบบคิดในการทำงานครั้งนี้ครับ โมเดลนี้ผมยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าถูกหรือผิด แต่หลังจากผมได้ทดลองปฏิบัติแล้ว
ผมคงจะบอกได้ว่า ผมต้องปรับปรุงอะไรบ้าง
เพื่อให้โมเดลสามารถ simulate real world ได้อย่างถูกต้องครับ
ผมจะยินดีมาก หากท่านใดจะนำโมเดลไปทดลองใช้
เพื่อจะได้ร่วมกันพัฒนาโมเดลนี้ในโอกาสต่อไปครับ
ในเบื้องต้นผมขออนุญาตให้คำอธิบายโมเดลดังต่อไปนี้ครับ
“พลวัตเครือข่ายความรู้เพื่อการฟื้นฟูชุมชนของจังหวัดระยอง
เป็นการแสดงให้เห็นพฤติกรรมของระบบ (Systems Behavior)
การฟื้นฟูชุมชนของจังหวัดระยอง
โดยการแสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน (Interconnected)
ขององค์กรพันธมิตรที่อยู่ในระบบของการฟื้นฟูชุมชน
นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าใครมีปฏิสัมพันธ์กับใครแล้ว
ยังจะแสดงให้เห็นว่ามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วเกิดผลย้อนกลับ
(Feedback Loop) มาสู่ระบบอย่างไร
ผลย้อนกลับดังกล่าวก่อให้เกิดการเติบโตของระบบการฟื้นฟูชุมขนได้อย่างไร
ดังแสดงในแผนภูมิ “ยิ้ม”
จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูชุมชนนั้นต้องมาจากการย้อนกลับไปมองตัวเอง
เพื่อการรู้จักตัวเองของชุมชน
โดยการจัดทำข้อมูลชุมชนซึ่งอาจมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละชุมชน
การจัดทำข้อมูลดังกล่าวที่จะทำให้ศูนย์ข้อมูลมีข้อมูลในจำนวนที่เพียงพอจนเป็นพลังทางปัญญาที่ทำให้ชุมชนรู้จักตัวเอง
เป็นปัญหาของตัวเอง
และกำหนดยุทธศาสตร์การฟื้นฟูชุมชนด้วยตัวเองได้
ถึงขั้นนี้ความต้องการฟื้นฟูชุมชนโดยชุมชนเองจะเกิดขึ้น
แล้วนำไปสู่การรวมกลุ่มกันเพื่อเป็นเครือข่ายความรู้เพื่อการฟื้นฟูชุมชน
เมื่อเครือข่ายรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งเพียงพอที่จะขับเคลื่อนกิจกรรมฟื้นฟูชุมชน
ก็จะนำไปสู่พลวัตการเรียนรู้ของชุมชน
พลวัตการเรียนรู้ของชุมชนเกิดจากการทำกิจกรรมฟื้นฟูร่วมกันของชุมชน
ผลที่เกิดจากการทำกิจกรรม
หากบรรลุเป้าหมายก็จะนำไปสู่ชุมชนเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้
แต่ถ้าไม่บรรลุเป้าหมายชุมชนจะเกิดการเรียนรู้ว่า
อะไรเป็นสาเหตุของความล้มเหลวดังกล่าว
ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟู
อาจสรุปบทเรียนไปทำกิจกรรมใหม่อีกรอบ
หรือเข้าไปรับการเรียนรู้ในระบบการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยชีวิต
ความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยชีวิตนอกจากจะเป็นความรู้ที่กลับไปใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมฟื้นฟูในชุมชนแล้ว
ยังเป็นทุนทางปัญญาของชุมชนที่จะนำไปสะสมไว้ในศูนย์ข้อมูลชุมชนท้องถิ่นเพื่อนำไปสู่ห่วงโซ่การฟื้นฟูชุมชนในรอบต่อไป
ทั้งในชุมชนเดิมและชุมชนอื่น ๆ ในจังหวัดระยองและจังหวัดอื่น ๆ
ของไทย
หัวใจสำคัญของการทำกิจกรรมการฟื้นฟู
มิใช่ขึ้นอยู่กับอยู่ผลที่ได้
หรือการสามารถบรรลุเป้าหมายของการทำกิจกรรม (ในวงวัฏฏะขวามือสุด)
แต่อยู่ที่การได้ทำกิจกรรมมากกว่า
ผลที่เกิดจากการได้ทำกิจกรรมฟื้นฟูที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ไม่ว่ากิจกรรมจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่คือ “การเรียนรู้ของชุมชน”
การเรียนรู้จากความสำเร็จหรือความล้มเหลว
ล้วนเป็นประโยชน์ต่อชุมชนทั้งสิ้นในการไปเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน
การเรียนรู้ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนเสมอไปตราบเท่าที่รัฐไม่เข้าไปแทรกแซงการเรียนรู้โดยการนำ
“พันธนาการ” ของรัฐไปสวมให้แก่ชุมชน
เมื่อชุมชนเกิดการเรียนรู้อย่างอิสระ
ชุมชนจะต้องการความช่วยเหลือจากรัฐน้อยลง ยิ่งรัฐ “อุ้ม”
ชุมชนน้อยลงเพียงใด ชุมชนจะ “แกร่ง” มากขึ้นเท่านั้น
ปัญหาจึงอยู่ที่รัฐเองว่า
ใจกว้างพอที่จะให้อิสรเสรีภาพแก่ชุมชนอย่างจริงใจแค่ไหน
เพราะสาเหตุที่ทำให้ชุมชนไม่เข้มแข็งที่แท้จริง
ไม่ใช่เพราะชุมชนไร้ความสามารถ
แต่เกิดจากการที่มีผู้เอาอำนาจของโครงสร้างทางสังคมไป “สร้างภาพลวงตา”
แก่ชุมชน จนทำให้ชุมชนเชื่อว่าตนเป็นชุมชนที่ไร้ความสามารถจริง
ๆ ตะหากเล่า!”
ขอเชิญชมกิจกรรมของศูนย์เรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิตระยองครับ