คน แปลว่า กวน ดังนั้น จึงมีปัญหา ครับ
ด้วยความเข้าใจและเห็นใจไปด้วยครับ พี่บุญรุ่ง
เรื่องนี้ ไม่ใช่ประเด็นวิชาชีพ แต่น่าจะเป็น "คน"มากกว่าครับ คุณหมอ รพ.จังหวัด เองก็คงทุกข์มากกับวิธีคิดของคุณหมอเอง การระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราด และอัตตาสูงส่งขนาดนั้น มีที่ไปที่มา...
นอกจากคุณหมอ รพ.จังหวัด จะเยียวยาคนไข้โรคจิตแล้ว คุณหมอคงต้องเยียวยาตนเองด้วย ...เตี้ยอุ้มค่อมกันไป
สังคมเราก็แบบนี้เหมือนกันครับ เรายึดอัตตาเป็นใหญ่ เหนือความละเอียดอ่อนของจิตใจ ความถูกต้องของความเป็นคนที่ควรจะได้รับ (สิทธิ์)
เราคงไม่กล่าวหาใคร แต่เป็นที่ระบบทำให้ ทั้งคนทั้งหมดป่วยกันไปหมด
ก็น่าสงสารคุณหมอ รพ.จังหวัดนะครับ เขาคงเครียดกับชีวิตเขามากทีเดียวครับ
พี่บุญรุ่งครับ...ขอชื่นชมในการดูแลผู้ป่วยของพี่ครับ การดูแลผู้ป่วยด้วยจิตใจความเป็นมนุษย์ ที่ บุคลากรสาธารณสุข พึงมี
ขอให้กำลังใจพี่นะครับ
กราบอาจารย์คุณหมอJJ ค่ะ
ก่อนอื่นต้องกราบขอบพระคุณที่ส่งภาพอันเจริญตามาให้ค่ะ
ทั้งภาพวิวและดอกไม้
เพียงเห็นก็ชื่นใจ ทำให้จินตนาการไปแสนไกล
แต่ยิ่งได้สัมผัสเมื่อไหร่
นั่นแหละคือความจริงของสิ่งนั้น
แต่หนูเคยอยู่ในภาพที่พระอาทิตย์
ที่อยู่ริมขอบฟ้า
พาให้ใจสบาย ผ่อนคลายค่ะ
ส่วนดอกกล้วยไม้นี้ หนูเคยได้กลิ่นมาแล้วหอมมากค่ะ
แต่อาจารย์หมอคะ
เรื่องราวบนโลกนี้ มีให้เราศึกษามากเหลือเกิน
และการสร้างสรรค์สังคม
ให้น่าอยู่ ก็เป็นโจษที่ยากมาก
บางครั้งก็เกินกำลัง
หนูขอถ่ายทอดประสบการณ์นี้
ด้วยเห็นว่าน่าสนใจและมองเห็นทิศทางในอนาคตได้บ้าง
ไม่ได้มุ่งร้ายหรือทำลายสถาบันใดๆ
หรือบุคคลใดเฉพาะ
เพียงแต่อยากให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
และจะช่วยกันปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆที่เกิดขึ้น
เพื่อสังคมที่เกื้อกูล ตามที่เราอยากเห็น
จะได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตเราค่ะ
กราบขอบพระคุณที่อาจารย์หมอให้ความเมตตาค่ะ
ด้วยความเคารพ
สวัสดีค่ะคุณ2. จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
สงสารบุคลากรทางสาธารณสุขทุกฝ่าย
แต่ก่อนนี้ เราจะมีการให้ความนับถือคุณวุฒิกันตามลำดับ
สรุปคือเราจะเรียกแพทย์ว่า อาจารย์ทุกคำ
และแพทย์ ก็จะให้ความเอ็นดูพวกเรา
เห็นมาจากบ้านนอก ก็ให้กำลังใจ
บางครั้งชอบที่ให้เราพูดถึงเรื่องบ้านนอกนั้นให้ฟังด้วย
คงอาจเป็นระบบ ภาระกิจที่รับมอบหมายหรือเปล่าไม่ทราบ
ทำให้โอกาสที่จะพบกัน ช่างห่างไกลเหลือเกิน
การอบรมบคคลากร ก็ไม่เคยทำให้เราพบกันเลย คนละระดับกัน
จากนั้นมา ก็ห่างเหินกันมากขึ้นๆๆ
แต่ลืมกันไปว่า ในวังวนของงานสาธารณสุขนี้
สักวันหนึ่งเราก็ต้องเจอกัน
ขอบคุณค่ะ ที่ให้กำลังใจ และช่วยให้มุมมองที่ทำให้เกิดการเห็นใจกันทุกฝ่าย
ก็ขอให้บันทึกของพี่ในเรื่องนี้
จะได้มีส่วนให้เกิดความสมานฉันท์
อันอบอุ่นของเราชาวสาธารณสุขต่อไป
โดยให้มีความเห็นใจ และโอภาปราศัยกันกัน
เหมือนที่เคยเป็นมา
แล้วการดูแลผู้ป่วยด้วยจิตใจความเป็นมนุษย์
ก็จะได้ชัดเจนขึ้น
และเป็นความภาคภูมิใจของชาวสาธารณสุขตลอดไป
สวัสดีค่ะคุณตันติราพันธ์
อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่าคะ
ที่ทำให้หลายๆ คน ไม่อยากไปโรงพยาบาล
เมื่อมีอาการเจ็บป่วย
หลายๆ ครั้ง หมอ หรือ พยาบาล
เหมือนจะกลายเป็นคนร้าย
ผู้คนส่วนใหญ่ก้อเลยไปซื้อยามาทานเอง
สะดวก ไม่ต้องรอ แล้วก้อหายเหมือนกัน(ในกรณีที่เจ็บป่วยเล็กน้อย)
ขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานนะคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณ. ณัชชา Natcha เฉลิมกลาง Chalermklang
คงเป็นสาเหตุหนึ่งก็ได้ค่ะ
เพราะคนไข้มักจะกลัวหมอที่โรงพยาบาล
ความไม่คุ้นเคยด้วย
และบางครั้งอาจเคยเจอเหตการณ์ทำนองนี้
จึงอยากให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรับรู้ด้วยว่า
ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง
หมออนามัยคงไม่ส่งคนไข้มารบกวนค่ะ
เชื่อมั่นว่าน้องบุญรุ่งเป็นผู้มีสติปัญญา และความเมตตาในการช่วยคนไข้ และได้พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว บางอย่างเหนือการควบคุมของเราจริงๆ เป็นกรรมของทุกคนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์เช่นนี้นะคะ สงสารคนไข้ หวังว่าคุณหมอท่านนั้นคงจะได้ย้อนมองตนเอง และได้คิดเมื่อมีสติมากขึ้น และอัตตาลดลง
สวัสดีค่ะพี่นุช
น้องก็คิดว่าได้ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบ หวังให้ปัญหาของคนไข้ ได้รับการรักษาแก้ไขที่ถูกต้อง ไม่ได้คิดจะนำภาระไปส่งต่อเลย บอกหมอไปแล้ว ว่า ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง คงไม่ส่งมา ถ้าเราคิดว่า คนไข้เป็นญาติ หรือคนที่รัก เมื่อนั้นแหละคะ ก็จะได้คำตอบว่า ทำไมต้องอยากให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
เสียดาย น้องช่วยเขาไม่สำเร็จ ที่บาดเจ็บกลับมาไม่เท่าไหร่ แต่คนไข้หมดหนทางไปต่อ ยิ่งกว่าเจ็บหนักอีกค่ะ
เรียน เจ้าของ block ครับ
ผมไม่แน่ใจว่า เจ้าของ บลอก จะได้มาอ่านไหม ถ้าได้อ่านจะดีใจมากครับ
ขอออกตัวนิดนึงครับ ผมเป็นจิตแพทย์ และเคยผ่านเหตุกาณ์ร ดังเรื่องราวที่เล่ามา เป็นทั้ง คนนำส่ง ที่ถูกปฏิเสธ และเป็นทั้ง คนที่ปฏิเสธ การให้อยู่ รพ. เพราะเคยทำงานใน หลายๆระดับ ทั้ง ระดับเล็ก จนถึงใหญ่
ผมขอไม่กล่าวถึง เรื่องอารมณ์การทำงานของ จนท. ที่คุณไปเจอมานะครับ เพราะ ทุกคนที่ตอบก็บอกเหมือนกันว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมอยากตอบเรื่องของระบบมากกว่า
ปล.โดนตามละครับว่างๆมาตอบต่อ
สวัสดีค่ะคุณจิตแพทย์ ที่ผ่านมา ทุกระดับ
มาอ่านแล้วค่ะ
รอคุณหมอมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ดีค่ะจะได้เข้าใจกันมากกว่านี้
เพราะถึงอย่างไร ก็คงจะต้องพบเจอกันอีก
ถ้ายังอยู่ในแวดวงนี้ จังหวัดนี้ค่ะ
ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ
ขอไล่เป็นประเด็นแล้วกันนะครับ
1.เรื่องการให้คนไข้จิตเวชอยู่ รพ. อันนี้ผมขอใช้คำว่าเป็นปัญหา ระดับชาติ มองจากมุมไหน ก็ขัดแย้งกันหมด
มองมุมญาติ ที่เคยเจอมาก็มักคิดว่า น่าจะให้อยู่ รพ.ไปเลย เพราะเสี่ยง
มองมุมหมออนามัย หรือ จนท.รพ.เล็ก รวมทั้งตอนผมอยู่ ที่ๆไม่มีเตียงให้ admit ตอนนั้นผมมองแบบเดียวกับญาติครับ ว่าเขาป่วยควบคุมไม่ได้ น่าจะเอาเขาอยู่ รพ.ให้สงบก่อน ค่อยให้ออกมาทำไม admit ยากจัง ตอนนั้น ผมก็ไม่พอใจครับ เข้าใจความรู้สึก เจ้าของ blog เป็นอย่างดี
แต่พอมาเป็น จิตแพทย์ที่ รพ.ตนเองมีเตียง admit ก้เริ่มเข้าใจว่าทำไม admit ยากมาก ทั้งที่เดิมเคยไม่พอใจที่ถูก ปฏิเสธ case หรือการ admit จนตอนนั้นที่ทำงาน รพ.ที่มีเตียง ผมนี่แหละเป็นคนปฏิเสธ case และการ admit เอง
รพ.ที่ผมเคยทำงาน มีคนไข้ 150-200 คนต่อวัน จิตเวชทั้งหมดนะครับ และทุก case
ที่เป็นโรคจิตที่ผมตรวจญาติต้องการให้อยู่ รพ.70-80% เพราะฉะนั้นคร่าวๆแต่ละวันมีคนอยากให้รับผู้ป่วยประมาณ 50 คนต่อวัน รพ. สามารถรับได้ แบบเต็มที่สุดๆเลยคือ 200 คน ถ้าผมไม่ปฏิเสธ case ล่ะก็ ตรวจได้ 4 วันครับหลังจากนั้นก็ไม่มีคนไข้คนไหนได้อยู่ รพ.อีก
ซึ่งถ้าเป็นงั้นจริงแย่ทีเดียวครับ ทำให้ต้องมีการประเมินว่าคนไหนสมควรอยู่ คนไหนไม่สมควรอยู่ ซึ่งตรงนี้ล่ะครับเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ประเทศไทยทั้งประเทศ มีเตียง ผู้ป่วยจิตเวช รวมทุกโรคของทางจิตเวชนะครับ ทั้งหมด น่าจะอยู่ประมาณ 2000-3000 เตียง แต่จำนวนผู้ป่วย เฉพาะ โรคจิต schizophrenia โรคเดียวคือ 1%ของประชากร คือถ้ามี 70ล้าน ก็จะมีคนป่วยโรคจิต 7แสนคนครับ ถ้าเราเอาเตียงทั้งหมดให้ผู้ป่วยโรคจิตเลย โดยที่โรคซึมเศร้าและโรคอื่นๆ ไม่มีสิทธินอน รพ.ก็จะมีคนผิดหวัง 697000 คน เพราะเรามีเตียงแค่ 0.05% เพราะฉะนั้น คนป่วย 2000 คน มีสิทธินอน รพ.1 คน เราจึงต้องเอาคนหนักจริงๆเท่านั้น
แต่คำว่าหนักจริงนี่แหละเป็นปัญหา ที่ทำให้ทุกฝ่ายไม่เข้าใจกัน เพราะญาติ และ จนท.ที่ไม่ได้เจอคนไข้จิตเวชประจำ แค่เจอก็หนักใจแล้วครับไม่ว่าเขาอาการมากน้อย ขอพูดเป็นกลางนะครับเพราะผมไม่ได้ทำงานรพ.จังหวัดนี้ และไม่มีส่วนได้เสีย(แค่ฟลุค link มาเจอกระทู้นี้ เพราะปัญหาที่กล่าวผมเคยคุยกับ จนท.ระดับต้นในพท.ที่ผมเคยดูแลอยู่ ซึ่งก็คล้ายๆกันนี่ล่ะครับ)เท่าที่ผมอ่านอาการ ที่ คุณ ตันติราพันธ์ เล่ามาถ้าผมเป็นแพทย์คนนั้นก็คงยังไม่ให้อยู่ รพ. เพราะอะไรหรือครับ เพราะ เขาได้ยาฉีดแล้วสงบลงได้ ทุกวันที่ตรวจถ้าหนักจริงจะไม่สามารถคุมได้ด้วยาครับ ปกติส่วนตัวจะฉีดก่อนถ้าไม่สงบอาจพิจารณา admit ต่อไปครับ ถ้าสงบมักจะให้กลับบ้านเพราะต้องเก็บเตียงไว้ให้คนที่หนักจริง แต่เมื่อกลับบ้านจะแนะนำการดูแลต่อเนื่องไปด้วยว่าถ้าผู้ป่วยตื่นมาจะต้องทำอะไรต่อ เพราะถ้าฉีดยาแล้วหลับได้ เมื่อตื่นมักจะสงบกว่าเดิมและมีแนวทางการดูแลอีกครับ(ซึ่งคงยังไม่กล่าวถึงณ.ที่นี้)
ส่วนประโยคที่ว่า "หมอจะได้ข้อมูลที่แท้จริงจากคนไข้ได้อย่างไร เพราะเขาเป็นคนโรคจิต" อันนี้คงต้องบอกว่า ยิ่งคนไข้มีอาการมากจะชัดมากครับข้อมูลที่ได้น่าเชื่อถือนะครับเพราะผู้ป่วยแสดงออกมาจริง แต่ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าข้อมูลจากญาติไม่สำคัญนะครับ เพราะปกติเราจะเอามาประกอบกัน แต่จากที่ตัวเองเคยเจอ ข้อมูลจากญาติ และ จนท.มักจะมีอารมณ์กลัว และวิตกกังวลปนมาด้วย ซึงส่วนมากจะมี bias อาการที่ผู้ป่วยแสดงและการตอบสนองต่อยา ก็จะช่วยยืนยันกันได้ ว่าหนักจริงไหม
ปล.ยาวละครับ ว่างๆมาต่อนะครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ขอบคุณที่ได้ร่วมชี้แจงแสดงความคิดเห็น
ในบางส่วนที่เราไม่เข้าใจกัน
จะรออ่านประสบการณ์
และแนวทางแก้ไขปัญหาตามที่คุณหมอเคยประสบมา
ซึ่งคงจะเป็นประโยชน์และช่วยกันเยียวยา
สภาพของคนไข้จิตเวชและผู้เกี่ยวข้องทุกคน
ไม่ให้ต้องเข้าสูภาวะตึงเครียดเกินไป
ดังที่ได้ประสบกันมาแล้ว
ขอเชิญคุณหมอแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันต่ออีกนะคะ
ยินดีรับฟังเสมอ