นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันระบบบำเหน็จ
บำนาญได้มีการพัฒนามาระดับหนึ่งแล้วสำหรับแรงงานในระบบจำนวนประมาณ 12 ล้านคน
และเพื่อให้เกิดความครอบคลุมครบถ้วน เพื่อให้กำลังรงงานของประเทศทั้งหมด
จำนวนประมาณ 35 ล้านคน มีระบบบำเหน็จบำนาญอย่างถ้วนทั่ว สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
จึงได้มีแผนที่จะดำเนินการศึกษา เรื่อง ระบบการออมเพื่อการชราภาพสำหรับแรงงานนอกระบบ
หรือ ระบบบำเหน็จบำนาญของแรงงานนอกระบบ
นโยบายการออม ซึ่งนอกจากจะเป็นเครื่องมือหรือมาตรการทางการคลังที่สำคัญในการพัฒนา
การระดมเงินออมของประเทศ และพัฒนาตลาดเงิน ตลาดทุน เพื่อการพัฒนาประเทศ
โดยผ่านระบบกองทุนเพื่อบำเหน็จบำนาญต่างๆ แล้ว ยังสามารถทำหน้าที่เป็นระบบ
โครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม หรือที่เรียกกันว่า Social Safety Net ที่สำคัญด้วย
ดังนั้น สศค.จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนอาเซ็ม
และธนาคารโลก เริ่มต้นศึกษาแนวทางในการส่งเสริมการออมมาตั้งแต่ปี 2546
และจนกระทั้งถึงปัจจุบันได้ทำการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว 4 โครงการ คือ
ผลการศึกษาทั้ง 4 โครงการดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ควรใช้นโยบายการออมเป็นกลยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างระบบบำเหน็จบำนาญให้แก่แรงงานนอกระบบ และควรเป็นระบบ Social Insurance (คือเป็นระบบกองทุนการออม) เพราะแรงงานนอกระบบมีศักยภาพในการพึ่งตนเองได้
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรับฟังความคิดเห็นของสังคม ในเรื่องนี้ สศค. ได้จัดให้มีการเสวนาทางวิชาการหรือ FPO Forum เรื่อง การจัดการความเสี่ยงและความเปราะบางทางสังคมกับนโยบายการออมเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549 ผู้เสวนาประกอบด้วย ดร.อัมมาร์ สยามวาลา ผอ.สมสุข บุญญบัญชา จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ดร.ไมตรี วสันติวงศ์ นักวิชาการอิสระ และนายกฤษฎา อุทยานิน รอง ผอ.สศค. ผลสรุปของการเสวนาสรุปได้ชัดเจนว่า ในการป้องกันความเสี่ยงและความเปราะบาง ทางสังคมในเรื่องการประกันรายได้ที่เพียงพอให้แก่แรงงานนอกระบบ ควรใช้มาตรการออม และควรให้มีการบริหารจัดการกันเอง ในระดับชุมชน ซึ่งทั้งนี้ต้องการการสนับสนุนที่เหมาะสมของภาครัฐ ในเรื่องเทคนิควิชาการต่าง ๆ ด้วย
แผนการศึกษาในลำดับต่อไป
สศค. จะดำเนินการศึกษา เรื่อง การส่งเสริมนโยบายการออมภาคครัวเรือนในรูปแบบ
ของกองทุนการออมชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมที่เหมาะสมสำหรับแรงงานนอกระบบ
โดยศึกษารายละเอียด ในประเด็นสำคัญต่าง ๆ อาทิ เช่น 1) สถานะหรือสภาพทางชุมชนทางกฎหมายของกลุ่มการออมชุมชน 2) ความมั่นคงยั่งยืนของกองทุน 3) การควบคุมความเสี่ยงทั้งทางด้าน Credit risk และ Operational risk 4) บทบาทความร่วมมือสนับสนุนขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาครัฐบาล และอื่น ๆ
ระยะเวลาดำเนินการ
คาดว่าจะดำเนินการให้ได้ผลการศกึษาที่ชัดเจนเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายได้ภาย
ในเวลา 1 ปี โดยการดำเนินการในลักษณะการทำโครงการนำร่อง และการจัด workshop ร่วมกับ
ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการด้านกฎหมาย ด้านคณิตศาสตร์ประก้นภัย และผู้นำชุมชน หรือผู้นำกลุ่ม
ออมทรัพย์ชุมชน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาวิจัยที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นระบบการออมเพื่อบำเหน็จ
บำนาญสำหรับแรงงานนอกระบบ และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติต่อไป
ที่มา : ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 23/2549 วันที่ 22 มีนาคม 2549
ไม่มีความเห็น