ตื่นเช้าขึ้นมาประมาณตีห้า ผมกับครูบาตื่นแต่งตัวจะออกไปเดินชมตลาด ได้ยินเสียงเคาะห้อง ปรากฎว่าเป็นพี่ติ๋ม ทีวีพูล พอออกมาปรากฎว่าอาจารย์มนฤตพล ก็ตื่นแล้วก็เลยชวนกันออกมาเดินตลาดปรากฎว่าโกติ่งกับพี่วันชัยก็ตามมา เราเดินชมสินค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร พริกแต่ละดอก ผักแต่ละกอล้วนสมบูรณ์แถมราคาไม่แพง กล้วยหอมหวีใหญ่หวีละ ๕ หยวน แต่พวกเรารู้สึกว่ามันถูกไป นึกว่าเขาบอก ๒๕ หยวน ขอต่อเหลือ ๒๐ หยวน คนขายก็บอกว่าไม่พอขายหันไปถามแม่ค้าใกล้ๆเพื่อจะหากล้วยมาให้ แต่พี่ติ๋มยื่นตังค์ไปให้แล้ว ถึงได้รู้ว่าฟังผิดว่า ๒๕ หยวน ได้หัวเราะกันสนุกสนาน เพราะภาษาไตลื้อกับภาษาไทยแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกัน ผมกับครูบาเห็นเขาขายข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ พอเราเรียกข้าวเหนียวดำคนขายเขาก็พูด “ข้าวเหนียดาม” อิอิ ก็เลยถามว่าขายยังไง เขาก็บอกว่า จะอาวเท่าหล่า หนึ่งหยัว สอหยัว สาหยัว สี่หยัว ก็เลยบอกว่าเอา ๑ หยวน ได้มาถุงหนึ่งปรากฎว่าอร่อยมาก หอม เพราะเป็นข้าวเหนียวใหม่ ครูบาก็คิดถึงพี่อั้ม อมรา เจ้าแม่แตงโม ขากลับผมเลยซื้อมาอีก ๒ หยวน มาฝากพี่อั้มและแบ่งกันทานตอนอาหารเช้า
จากนั้นเราทานอาหารเช้าแบบสิบสองปันนาแล้วขึ้นรถบัสไปเที่ยวพักผ่อน จุดแรกที่พาไปก็คือพาไปดูลิง ไปนั่งกระเช้าข้ามโขงเพื่อไปดูลิงเผือก ลิงกระรอก ไปไหว้เจดีย์ ไปเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์พรมศีรษะ จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป ผมสังเกตเห็นสาวจีนถือไม้คานและมีถังพลาสติกสองใบยืนดูพวกเราอยู่ พอพวกเราออกจากจุดดังกล่าว ผมก็เห็นเธอตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ใส่ถังทั้งสองแล้วหาบไปตรงจุดที่พวกเราซื้ออาหารให้ลิงกิน ไม่รู้ว่าเธอเอาไปกินเองหรือเอาให้ลิง..อิอิ สงสัยว่าเธอจะไม่รู้ว่าน้ำนั้นศักดิ์สิทธิ์ ฮ่าๆ....
แล้วเราไปเติมพลังอาหารเที่ยงกันที่โรงแรมเราพักก่อน อาหารอยู่ในระดับที่เรียกว่าดีอร่อยใช้ได้เลย แต่พอเช็คอินเสร็จเขาก็ให้เราขึ้นรถบัสกันต่อแล้วก็ถูกทัวร์พาไปซื้อของเพราะเป็นไฟล้ท์บังคับ อิอิ เพราะตอนแรกเราจะไปฟังบรรยายเรื่องเขตพิเศษสิบสองปันนาแต่เนื่องจากเราไปวันอาทิตย์ ผู้ว่าเขตปกครองพิเศษสิบสองปันนา ไม่อยู่เลยอดฟัง แต่ไม่เป็นไรไกด์เขาเล่าให้เราฟังคร่าวๆ (แล้วผมจะเล่าให้ฟังตอนหน้านะ..)เมื่อไปตามนั้นไม่ได้เขาก็เลยพาไปร้านหยก ก็มีพวกเราซื้อไปเป็นของฝากกันพอหอมปากหอมคอ
จากนั้นก็พาไปร้านขายบัวหิมะ (อีกแล้ว อิอิ) แต่มีวิธีการแนบนียน ให้เราไปแช่เท้ารักษาโรค ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย รักษาเท้าที่เป็นโรคน้ำกัดเท้า ฮ่องกงฟุต ทำให้ความดันโลหิตลดลงก็ได้ด้วยนะ พวกเราก็ไปลองแช่กันหลายคน พอน้ำยามาถึงสิ่งที่ผมสังเกตและนั่งหัวเราะก็คือ เพื่อนๆเอาเท้าจุ่มลงไปในชามที่เขาไม่บอกว่ามันร้อน และไม่เห็นมีควัน เห็นมีคนชักเท้าขึ้นเป็นแถว ผมไม่เคยแช่หรอกแต่พอรู้ว่าร้อนก็เอาส้นเท้าจุ่มลงไปก่อนแช่ไว้สักพักพอร่างกายทนได้ก็ค่อยๆแช่ลงไปเต็มเท้า นี่เป็นประสบการณ์ตอนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นตอนอาบน้ำแบบญี่ปุ่นเคยเท้าแดงเป็นขอบมาแล้ว พอสักพักเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้เอาส้นเท้าลงไปแช่ก่อน (ปู้โธ่..ทำไมไม่บอกเขาก่อนเอามาให้แช่ล่ะ...) แถมยังบอกว่า “แต่ว่าน้ำยาจะมีประสิทธิภาพมากตอนมันร้อน” แล้วยังบอกอีกว่า ยานี้ใช้ได้กับเด็กด้วยนะครับ เด็กที่ผิวพรรณไม่ดีก็ให้เอาแช่ทั้งตัว..อุบะ..ขนาดส้นเท้าตูยังร้อนเลย แล้วลูกตูไม่ถูกน้ำลวกทั้งตัวเหรอ...ก๊าก...(แช่เท้าสบายไหม ถามครูบา แฮ่....)
ทัวร์พาเรากลับไปที่พัก ไกด์ของบริษัทฯชี้ให้เราดูวัดที่อยู่ระหว่างทางที่รัฐบาลจีนสร้างขึ้นไปบนภูเขาทั้งลูก ดูแล้วอลังการมาก แต่การสร้างวัดของจีนไม่เหมือนการสร้างวัดของคนไทย เพราะสร้างด้วยความศรัทธา แต่วัดของจีนสร้างขึ้นมาเหมือนกับเป็นสถาปัตยกรรมที่ใครจะเข้าไปดูต้องเสียตังค์ง่ะ...เออ..เอากับพี่ใหญ่สิ..
กลับมาถึงที่พักก็เย็นแล้ว ไปอาบน้ำแต่งตัวและไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม อร่อยพอสมควรแต่สู้ตอนเที่ยงไม่ได้ พวกเราบางคนก็เริ่มไปช้อบปิ้งที่ห้างบ้าง ถนนคนเดินก็เพิ่งเริ่มจะเอาของมาวาง ก็จัดการกันไปบ้างแล้ว จากนั้นก็ไปชมการแสดงที่พาราณสี ไกด์บอกว่าอะไรที่สวยๆเขาเรียกพาราณสีหมด อิอิ พวกเราไปเข้าในโรงละครก่อนใครเพื่อน และเริ่มการแสดง แต่ละฉากก็สวยดีแต่ผมว่าสู้แฟนตาซีที่ภูเก็ตไม่ได้ ที่นี่ห้ามถ่ายวีดีโอ แต่ไม่ห้ามถ่ายรูป พวกเราจึงมีรูปมาอวดกันพอสมควร กลับจากโรงละครก็วิ่งกันไปช้อบปิ้งอีกนิดหน่อยเพราะเขาปิดร้านกันแล้ว ยังไปต่อรองราคาได้ลดมาอีกนิดหน่อย ก็ถูกใจแล้ว เห็นโรตีขายอยู่ก็สั่งโรตีมากินเล่นก่อนนอน เป็นการบำรุงร่างกายให้อวบในยามอยู่เมืองหนาว อิอิ
รุ่งเช้าเราเช็คเอ้าท์แล้วไปที่ด่านเชียงรุ้ง หรือจิ่งหง เพื่อไปจัดการเรื่องเดินทางออกจากประเทศ แต่ต้องไปขึ้นเรืออีกท่าหนึ่งเนื่องจากน้ำลด ที่ตลกก็คือ เราต้องลากกระเป๋ากระเป๋าใครกระเป๋ามันผ่านตรวจคนเข้าเมืองตรวจอุณหภูมิร่างกายว่าเป็นโรคหรือเปล่า แล้วลากกระเป๋าผ่านด้านนอกของเครื่องเอกซ์เรย์ (ก็คือไม่ตรวจนั่นเอง ครูบาบ่นว่า “แล้วให้ลากมาทำหยังหว่า..อิอิ) ในที่สุดเราก็ลงเรือจนได้ จากนั้นก็นั่งเรือจากประเทศจีนมาขึ้นฝั่ง
ที่เชียงแสน ทิวทัศน์สองข้างทางน่าดูชมมาก แต่ลมที่พัดผ่านตัวเราเย็นมาก ของชอบครูบา...เพราะบ่นทุกวัน อุตส่าห์เอาเสื้อหนาวมาตั้งสามตัว แต่ต้องใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวกับเสื้อคลุมกันหนาว ๑ ตัว ไม่งั้นเหงื่อแตก อิอิ เสียดายผมลืมถ่ายภาพครูบาสวมเสื้อกันหนาวแต่ข้างในมีแต่เสื้อกล้ามมาอวด...
เรามาถึงเชียงแสนทันเวลาพอดี บริษัททัวร์ก็พยายามให้เราเดินทางไปทานอาหารกันก่อน เราพิจารณาแล้วว่ามัวแต่ทานอาหารเราจะขึ้นเครื่องไม่ทันเพราะของเยอะ หักดิบไม่ไปให้ตำรวจทางหลวงนำ แต่รถคันที่ผมนั่งเขากลัวนาย รถทางหลวงไปทาง เขาขับไปอีกทาง ต้องบังคับให้กลับไปสนามบิน ปั๊ดอีโถ....เรามีเวลาหายใจหายคอแค่ ๒๐ นาทีก็ต้องเดินขึ้นเครื่อง ถ้ามัวทานข้าวสงสัยว่าจะไม่ได้กลับ กทม. แล้วพวกเราก็กลับถึง กทม.โดยสวัสดิภาพ แต่ผมต้องกลับภูเก็ตอีกวันหนึ่งเพราะไม่มีเที่ยวบินจากดอนเมืองกลับภูเก็ตในคืนนั้น เรามาถึงที่พักก็ชักชวนครูบาไปดวลส้มตำ ลาบ กบผัดเผ็ด ข้างหอกันจนพุงกางทั้งสองคนเพราะหิว
ได้อะไรจากการศึกษาดูงานครั้งนี้ จะมาเล่าตอนสุดท้ายอย่าพลาดเป็นอันขาดขอรับกระผม...
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย อัยการชาวเกาะ ใน อัยการชาวเกาะ
กราบสวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๒ ท่านอัยการชาวเกาะ ครับ
@ จะรอติดตามชมตอนต่อไปคร๊าบ