ครอบครัวเป็นพื้นฐาน เสมือนฐานรากอันมั่นคงของชีวิต...
เดือนธันวาคมนี้เป็นเดือนหนึ่งที่มีสำคัญของครอบครัวคนไม่มีราก จึงขออนุญาตบันทึกไว้ถึง “ความภาคภูมิใจของครอบครัว” มิได้เพื่ออวดโอ้...แต่เพื่อแสดงถึงความตระหนักถึงคุณค่าของครอบครัว ด้วยความขอบคุณอย่างยิ่ง
หลายครั้งในชีวิตเมื่อประสบกับปัญหาหรือวิกฤตการณ์ทางอารมณ์ คำถามมากมายที่ตอบไม่ได้ ความรู้สึกทดท้อในใจ ทุกครั้งคนไม่มีรากมี “แม่” ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แม่...ที่แม้จะจากไปแล้ว ก็ยังเป็นดุจยาสารพัดนึกของลูกหลาน
แม่เป็นผู้รับและสืบทอดคำสั่งสอนของครอบครัวมาจาก “อากง” หรือ “ปู่” เป็นลูกสะใภ้ที่ดูแลใกล้ชิดและเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของ “อากง” ซึ่งเป็น“พ่อสามี” แม่เล่าเรื่องมากมายเกี่ยวกับอากง ซึ่งเป็นคนแก่ใจดี ไม่พูดไม่จา วัน ๆ เอาแต่ยิ้ม ๆ และมักจะหัวเราะหึ หึ ไม่เคยดุด่า ตำหนิใคร จะพูดจะจาก็มักใช้คำพูดที่อ่อนหวานด้วยถ้อยคำดี ๆ ซึ่งคุณสมบัติที่ว่ามาของอากงนั้น แม่มีทั้งหมด...แต่ที่เพิ่มเติมมากขึ้นมาอีกคือ แม่เป็นคนช่างฟัง ช่างเล่า และช่างถ่ายทอด...
แม่บอกว่าอากงเป็นคนแก่ใจดีที่ไม่พูดมาก แต่ที่พูดบ่อย ๆ คือ กฎทองคำ 3 ประการของครอบครัว และยังสั่งไว้ว่าให้สอนรุ่นลูก หลาน เหลน โหลนต่อไปด้วย กฎทองคำที่ว่าคือ
1. ซื่อสัตย์ (ตงเต็ก) ซึ่งความซื่อสัตย์ที่ว่านี้จะต้องซื่อสัตย์ทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น เนื่องจากเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจการค้า เรื่องความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า นับเป็นสิ่งสำคัญมาก พลาดไปเพียงครั้งเดียว ลูกค้าย่อมไม่เชื่อถืออีกต่อไป และเงินทองทรัพย์สินเท่าไรก็ไม่สามารถจะแลกความเชื่อถือคืนมาได้ แม่บอกว่ารุ่นอากงนั้นทำการค้ากับต่างชาติ (ฮ่องกง,จีน) มูลค่าไม่น้อยในยุคนั้น ไม่ต้องใช้สัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรในกระดาษสักแผ่นเลย แต่อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจและความซื่อสัตย์ตามที่ได้ตกปากรับคำไว้เท่านั้น
และที่สำคัญ...แม่บอกว่า...เราต้องซื่อสัตย์ต่อ "ตัวเอง" ให้เป็นเสียก่อน
2. กตัญญู (เกี่ยฮ่าว) ความกตัญญูเป็นคุณสมบัติที่คนจีนนิยม ยกย่องและให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ มีนิทานมากมายเกี่ยวกับความกตัญญูของนักปราชญ์ในสมัยโบราณ (ที่ได้ฟังประจำคือ เรื่อง 24 ยอดกตัญญู) การดูแลปรนนิบัติและการให้ความนับถือญาติผู้ใหญ่ โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว รวมไปถึงผู้ที่มีอาวุโสกว่า พ่อและแม่ย้ำและปฏิบัติให้เห็นเป็นประจำว่าใครที่เคยมีบุญคุณแก่เราเพียงครั้งเดียวต้องจดจำกล่าวอ้างถึงอย่างขอบคุณ และต้องหาทางตอบแทนทุกครั้งทันทีที่มีโอกาส
3. อ่อนน้อมถ่อมตน (อุงยิ้ว) คุณสมบัตินี้ แม่บอกว่าสำคัญมาก เพราะเมื่อมีวิชา ความรู้ มีทรัพย์สินเงินทองทุกประการแล้ว คนมักจะทะนงตัว ลืมตน มีอัตตาตัวตนที่เกิดขึ้นจากการประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเครื่องคอยรั้งสติมิให้ลืมตัว นอกจากนี้ความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้จะช่วยให้เป็นที่รักใคร่ เอ็นดู และทำให้อยู่ในสังคมและเข้ากับคนทั่วไปได้อย่างมีความสุข
ไปโรงเรียนทุกเช้า ต้องท่องกฎ 3 ข้อนี้ก่อนรับเงินค่าขนม แม้ในวัยเด็กจะรู้สึกว่าทำไมเชยจัง ท่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะให้ท่องไปทำไม ในเวลาต่อมาก็พบว่ากฎทองคำที่ว่านี้ เป็น “ภูมิคุ้มกันชีวิต” เป็นประดุจ “ทองคำ” ที่ควรค่าน่าภูมิใจ เพราะกฎทองคำนี้ทำให้สมาชิกทุกคนรักใคร่ ปรองดองช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีใครเกะกะ เกเร ทุกคนมีสัมมาอาชีพ เอาตัวรอดช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เป็นภาระของสังคม แม้จะไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีอยู่มีกิน ไม่ลำบากยากจน และสมาชิกบางคนก็ยังได้เป็นผู้ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ต่อสังคมเป็นอย่างดีอีกด้วย
พวกเราพี่น้องมักจะพูดคุยกันถึง "มรดกทางปัญญา" ที่ได้รับนี้ ซึ่งเราต่างเห็นพ้องต้องกันว่า "กฎทองคำ" ของอากงที่ส่งผ่านมาทางแม่นี้ เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากกว่าเงินทอง ทรัพย์สินใด ๆ ที่บรรพบุรุษจะพึงมอบให้แก่ลูกหลาน เพราะไม่มีวันเสื่อมสูญสลายไป หากนับวันจะเพิ่มพูน "คุณค่า" ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณค่าทางจิตวิญญาณ
ครอบครัวจึงเป็นพื้นฐาน เสมือนฐานรากอันมั่นคงของชีวิต ครอบครัวที่สมาชิกมีความรักใคร่ กลมเกลียว มีหลักธรรมประจำใจ เมื่อต้องมาใช้ชีวิตในสังคมที่สับสน อลหม่านก็จะไม่เคว้งคว้าง มีหลักยึด มีหลังอิงที่มั่นคง และดำรงตนอยู่ได้อย่างมีความสุข ทั้งยังตอบแทนคุณของสังคมและโลกได้
คนไม่มีรากตระหนักถึงความภาคภูมิใจและสำนึกขอบคุณอย่างเต็มหัวใจ ที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่แสนดีและอบอุ่นนี้ ....
โอ้...เราช่างโชคดีจังนะเนี่ย ....^__^….