น้องหนุ่ย...ผู้โชคดี
วันที่ 9 ธันวาคมได้รับโทรศัพท์จากคุณอุทุมพร หัวหน้าพยาบาลตึกศัลยกรรมชาย 1 โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลกว่า อยากให้ไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยรายหนึ่งชื่อ นายวีรจิต ศรีรักษ์ หรือน้องหนุ่ย อายุ 19 ปี ถูกยิงที่กระดูกต้นคอ เป็นอัมพาตทั้งตัว และมีแผลกดทับที่ก้นขนาดใหญ่ อาศัยอยู่กับแม่และน้องชายอีกหนึ่งคน ที่บ้านเลขที่ 58/32 ม.4 ต.วัดจันทร์ อ.เมือง พิษณุโลก น้องหนุ่ยต้องการช่วยเหลือเรื่องอุปกรณ์ทำแผล เพราะปัจจุบันไม่พอใช้ ต้องการการฟื้นฟูสภาพ ฐานะเศรษฐกิจในครอบครัวก็ไม่ค่อยดี แม่มีอาชีพซักผ้าได้ค่าแรงเฉลี่ยสัปดาห์ละ 60 บาท ไม่พอใช้ในครอบครัว บางครั้งต้องไปขอหยิบยื่มจากเพื่อนบ้าน หรือขอความช่วยเหลือทางวิทยุ และหนังสือพิมพ์ หลังจากได้รับเรื่องแล้วดิฉันจึงได้นัดหมายกับคุณอุทุมพร และทีมวิชาชีพอื่นๆของโรงพยาบาลซึ่งประกอบด้วย พญ.อัญญารัตน์ แพทย์ประจำเวชศาสตร์ครอบครัว คุณกิตติยา นักกายภาพบำบัด คุณปรีดาพร พยาบาลประจำศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลวัดจันทร์และเป็นเจ้าของพื้นที่ ว่าจะไปเยี่ยมบ้านน้องหนุ่ยร่วมกันในวันที่ 17 ธันวาคม 2551 เวลา 13.30 น.
ก่อนไปเยี่ยมบ้าน ทีมเยี่ยมบ้านได้วางแผนร่วมกันว่า จะไปดูว่าแผลกดทับของน้องหนุ่ยเป็นอย่างไร แม่ทำแผลให้น้องหนุ่ยถูกวิธีหรือไม่ วิธีการต้มและนึ่งอุปกรณ์ทำแผลถูกต้องหรือไม่ สภาพร่างกายพร้อมจะฟื้นฟูสภาพหรือไม่ ส่วนแม่ของน้องหนุ่ย ดิฉันตั้งใจจะไปสอบถามว่า สนใจทำดอกไม้จันท์เป็นอาชีพเสริมหรือไม่ เพราะได้รับความกรุณาจากคุณนพพร ซึ่งมีอาชีพทำดอกไม้จันท์ อยู่ที่หมู่ 2 ต.ปากโทก อ.เมือง พิษณุโลก จะสอนให้ฟรี เมื่อเป็นแล้วจะรับซื้อ 100 ดอกต่อ 20 บาท และได้รับความอนุเคราะห์จากกองทุนจิตอาสาฯยังได้มอบเงินช่วยเหลือในการซื้ออุปกรณ์ประกอบอาชีพอีก 2,000 บาท นอกจากนี้คุณสิน หัวหน้าศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลวัดจีนทร์ยังประสานกับองค์การบริหารส่วนตำบลขอเงินช่วยเหลือผู้พิการให้อีกทุกเดือน
วันที่ 17 ธันวาคม 2551 เวลา 13.30 น. ทีมเยี่ยมบ้านของโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลวัดจันทร์ได้ลงเยี่ยมน้องหนุ่ยที่บ้าน เมื่อไปถึงต้องประหลาดใจที่เห็นน้องหนุ่ยนอนคุมโปงด้วยผ้าห่มโผล่มาให้เห็นแค่ใบหน้าในห้องที่มืดทั้งๆที่อากาศช่วยบ่ายๆก็ไม่หนาว แถมยังมีกลิ่นเหม็นของแผลกดทับลอยออกมาเป็นช่วงๆ น้องหนุ่ยรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง แขนขา 2 ข้างอ่อนแรง ดิฉันจึงได้สอบถามน้องหนุ่ยว่า “ไม่ร้อนหรือ เห็นหน้ามีเหงื่อออกมาก แต่ยังนอนคลุมด้วยผ้าห่ม” น้องหนุ่ยบอกว่า “แต่ผมหนาวมาก... หนาวจนปวดกระดูกเลย” แม่ของน้องหนุ่ยบอกว่า“หนุ่ยมีอาการแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว ให้ยาแก้ปวดลดไข้ก็ไม่ทุเลา” เมื่อวัดความดันโลหิตให้พบว่า BP= 120/70 mmHg ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ชีพจรเร็ว 100 ครั้งต่อนาที การหายใจยังปกติ ไม่มีเหนื่อยหอบ เมื่อประเมินบาดแผลที่ก้นกบพบว่า แผลซีดไม่ค่อยแดง และมี Discharge ออกมามีกลิ่นเหม็น หมออัญ(พญ.อัญญารัตน์) สงสัยว่า น้องหนุ่ยอาจมีการติดเชื้อทางกระแสเลือดจากแผลกดทับ จึงแนะนำแม่ว่า ควรส่งหนุ่ยไปรับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อน้องหนุ่ยทราบว่าจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาล ก็ร้องไห้.. ดิฉันจึงได้เข้าไปพูดคุยและสอบถามเหตุผลที่ไม่อยากไปนอนที่โรงพยาบาล ซึ่งได้รับคำตอบว่า “ที่ไม่อยากไป เพราะไปแต่ละครั้งก็มักจะถูกขูดและคว้านแผลทุกครั้ง มันเจ็บและทรมานมาก” ส่วนแม่ของหนุ่ยก็ไม่อยากไปโรงพยาบาล เพราะ สงสารลูก กลัวลูกเจ็บ และไปแต่ละครั้งลำบากมากไม่มีรถพาไป และหนุ่ยก็ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เลย หมออัญจึงตัดสินใจให้น้องหนุ่ยรักษาตัวอยู่ที่บ้านไปก่อน และให้พยาบาลเจาะเลือดดู CBC พร้อมส่งเลือดและหนองไปเพาะเชื้อที่โรงพยาบาล รวมทั้งสั่งยาฆ่าเชื้อให้หนุ่ยทาน ดิฉ้นและพี่ปรีดาพรจึงกลับไปโรงพยาบาลเพื่อเอาอุปกรณ์เจาะเลือดไปเจาะให้น้องหนุ่ยที่บ้าน และวางแผนร่วมกันว่า หลังได้ผลการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการแล้วให้รายงานแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป ส่วนพี่กิตติยานักกายภาพบำบัดบอกว่า ให้น้องหนุ่ยหายจากการติดเชื้อก่อนและจะมาวางแผนฟื้นฟูสภาพต่อภายหลัง
เช้าวันที่ 18 ธันวาคม 2551 ดิฉันได้ติดตามผลการเจาะเลือดของน้องหนุ่ยและค้น OPD Card เพื่อเอาผลไปรายงานแพทย์ ภายหลังได้ทราบผลการตรวจเลือดก็ตกใจมากเพราะ Hb= 3.8 g/dl, Hct 11 %, เกล็ดเลือดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก, WBC = 10,100 cell/cu.mm จึงรายงานแพทย์ หมออัญบอกว่า ผู้ป่วยอยู่ในภาวะช๊อคจากการติดเชื้อที่แผล ต้องเข้ามานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดิฉันจึงประสานงานกับรถ EMS ของโรงพยาบาลไปรับน้องหนุ่ยที่บ้าน และได้โทรแจ้งให้แม่ของหนุ่ยเตรียมตัว โดยให้เหตุผลว่าหากไม่พาน้องหนุ่ยมาโรงพยาบาลน้องหนุ่ยอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ เมื่อพยาบาลประจำรถEMS ของโรงพยาบาลไปรับผู้ป่วยพบว่า ผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น นอนห่มผ้าเหลือแต่หน้า หน้าซีดและซึม วัดความดันโลหิตพบว่าต่ำลง BP= 90/60 mmHg ชีพจร = 110 ครั้งต่อนาที การหายใจ = 24 ครั้งต่อนาที จึงให้ออกซิเจน เปิดเส้นให้น้ำเกลือ และรีบส่งผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาลทันที ปัจจุบันน้องหนุ่ยพักรักษาตัวอยู่ตึกศัลยกรรมชาย 1 ได้รับการแก้ปัญหาช็อคได้อย่างทันถ่วงทีและปลอดภัย ไม่มีอาการหนาวสั่น
ความประทับใจจากเหตุการณ์นี้คือ ได้ช่วยให้น้องหนุ่ยรอดชีวิตได้อย่างทันถ่วงที เพราะหากทีมเยี่ยมบ้านไม่ลงไปพบและช่วยเหลือ น้องหนุ่ยอาจเสียชีวิตได้ในเวลาต่อมาก็ได้ และประทับใจในทีมสหวิชาชีพที่ลงไปเยี่ยมบ้านด้วยกัน ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือ อยากช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของงานเยี่ยมบ้าน ซึ่งเป็นหัวใจของงานบริการปฐมภูมิ และเป็นการสะท้อนการคืนหัวใจสู่ระบบบริการสุขภาพ (Humanized health care)ให้ประชาชนอย่างแท้จริง..
เจิ๊ยบจ๋า!พี่อ่านแล้วรู้สึกตื้นตันใจและประทับใจอย่างบอกไม่ถูกกับทีมงานที่เหมือนได้ช่วยชีวิต.ชีวิตหนึ่งให้กลับมาอยู่กับครอบครัวได้ต่อไปถึงแม้..น้องหนุ่ยเค้าจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ตาม..เจิ๊ยบมีสายเลือดของจิตอาสาอยู่ในตัวอยู่แล้วทำดีต่อไปนะจ๊ะ..ขอเป็นกำลังใจให้ตลอดไป
สิ่งที่เจี้ยบเล่า บ่งบอกถึงการทุ่มเทหัวใจเข้าไปในงานของทุกคนในทีม เติมหัวใจเข้าไปในระบบสุขภาพได้อย่างเต็มเปี่ยม ทำสิ่งดีๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆนะเจี้ยบ
ถ้าพี่เจี๋ยบจะเยี่ยมบ้านเมื่อไหรเรียกใช้บริการได้นะคะ
ประเด็นคำถาม
1. เป็นอัมพาตทั้งตัว เป็นมากี่ปีแล้วค่ะ
2. มีแผลกดทับที่ก้นขนาดใหญ่ แผลนี้เกิดตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลหรือมีตอนที่กลับไปอยู่บ้าน
ผู้ป่วย quad ตอนที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลมักจะให้นอนเตียงลมเพื่อป้องกันแผลกดทับ แต่เมื่อผู้ป่วยต้องกลับบ้าน ทีมอาจจะต้องประเมินความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข ซึ่งขณะนี้ในงบประมาณของ สปสช สามารถจัดซื้อที่นอนลมได้ ทางโรงพยาบาลก็เพิ่งประมูลไป ซื้อได้ในราคา 5700 บาท คิดว่าคงสามารถช่วยเหลือคนพิการที่พลิกตะแคงตัวเองไม่ได้และญาติไม่สามารถดูแลตลอดเวลาได้ ให้โอกาสเกิดแผลกดทับลดลง