คุณณรงค์ คงมาก (kongmark_4(at)hotmail.com) แห่งจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่งข้อความต่อไปนี้มาให้ทาง อี-เมล์
ข้อเสนอต่อกรอบความคิดเรื่อง “ตัวชี้วัดตำบลเข้มแข็ง”
โดย ณรงค์ คงมาก
ในการประชุมผู้ประสานงานจังหวัด 17 จังหวัด ของโครงการประสานและติดตามสนับสนุนจังหวัดบูรณาการ ระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 27 – 28 พฤศจิกายน 2551 ณ บ้านคุณทรรศิน สุขโต หัวหน้าโครงการฯ ที่ตำบลบางสะแก อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม นั้น ในกลุ่มย่อยที่มีคณะผู้นำชุมชนจากจังหวัดชัยนาท 3 คน จังหวัดนครพนม 1 คน และ “ผู้เขียน” รวมทั้งหมด 5 คน ได้ระดมสมองตามโจทย์ที่กำหนดร่วมกันว่า “ตำบลเข้มแข็ง ในพื้นที่ปฏิบัติการของโครงการฯระยะที่ 2 ในอีก 23 เดือนข้างหน้า ( 1 พฤศจิกายน 2551 – 30 กันยายน 2553 ) นี้ วัดจากอะไร? ซึ่งมีผลสรุปการระดมสมองของพวกเรา 5 คน ดังนี้
ประสบการณ์จาก ชัยนาท นครพนม และนครศรีธรรมราช : ความรู้ที่ใช้ในการสร้างกรอบความคิด “ ตัวชี้วัดตำบลเข้มแข็ง”
ในการตั้งวงสนทนาราว 2 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ผู้นำ 4 คน จาก 2 จังหวัด และ “ผู้เขียน” ในฐานะผู้ประสานงาน 5 จังหวัดภาคใต้ เล่าประสบการณ์ การทำงานภายใต้ภารกิจของโครงการความร่วมมือฯ ระยะที่ 1 แลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวางในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในพื้นที่ “ตำบล” หรือการทำงานที่ใช้ “พื้นที่ตำบลเป็นตัวตั้ง” ซึ่งมีประเด็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่น่าสนใจ หลายประการ เช่น ในจังหวัดชัยนาท เน้นการสร้าง “คณะทำงานเพื่อพัฒนาตำบลที่มีประสิทธิภาพ” โดยมีกระบวนการบริหารงานพัฒนาที่เข้มข้น มีกลไกการบริหารจัดการที่เข้มงวด จริงจัง มีคณะทำงานที่เข้มแข็ง มีกระบวนการติดตามงานพัฒนาชนิดกัดไม่ปล่อย ซึ่งส่งผลให้จังหวัดชัยนาทมีผลงานในโครงการระยะที่ 1 ที่โดดเด่นอย่างยิ่ง ขณะที่จังหวัดนครพนมเน้นกระบวนการพัฒนาครู ก. ครู ข. โดยการสนับสนุนจากภาคราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็น “หัวขบวน”ขับเคลื่อนงานชุมชนเข้มแข็งตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ผ่านกระบวนการชุมชนอินทรีย์และการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ
ทั้ง 3 จังหวัด มีพื้นที่ตำบลที่อยู่ในกรอบที่อาจเรียกได้ว่า “เป็นตำบลเข้มแข็ง” อยู่หลายพื้นที่ ผู้รวมวงเสวนาทั้ง 5 คน จึงร่วมกันเรียนรู้ และสรุปร่วมกันว่า ตำบลที่จะชี้วัดว่าเป็นตำบลเข้มแข็งนั้น ควรมีตัวชี้วัดอย่างน้อย 7 ประการ
ตัวชี้วัด 7 ประการ : วัดความเข้มแข็งของตำบล
1. มีกลไกเพื่อการพัฒนาสู่ตำบลเข้มแข็ง ที่มีผู้แทนจากทุกหมู่บ้านประกอบเป็นองค์คณะ และมีระบบการบริหารจัดการที่ต่อเนื่อง ยืนอยู่บนขาตนเองได้อย่างยั่งยืน หมายถึง ในตำบลที่เข้มแข็งนั้น มีคณะบุคคลจากทุกหมู่บ้านมารวมตัวกันเป็นองค์คณะด้วยจิตอาสา ร่วมกันขับเคลื่อนงานพัฒนาตำบลอย่างต่อเนื่อง และสามารถบริหารจัดการคณะทำงานพัฒนาตำบลได้ด้วยตนเองทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว แม้ว่าทรัพยากรหรืองบประมาณสนับสนุนจากภายนอกจะหมดไปแล้วตามกรอบระยะเวลาของโครงการพัฒนาต่างๆ แต่คณะทำงานพัฒนาตำบลเข้มแข็งนั้นก็สามารถขับเคลื่อนงานพัฒนาตำบลได้ต่อไป โดยไม่หยุดชะงัก
2. สามารถสาน เชื่อมโยง ความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่ และองค์กรภาคีทั้งในและนอกพื้นที่ ในการขับเคลื่อนงานพัฒนาตำบล หมายถึง กลไกของคณะทำงานพัฒนาตำบลเข้มแข็งนั้น สามารถทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ เพื่อร่วมกันพัฒนาตำบล โดยไม่ขัดแย้งกับภาคีใดๆทั้งในและนอกพื้นที่ หากบุคคลใดในคณะทำงานเกิดความขัดแย้งใดๆกับบุคคลในกลไกภาคีการพัฒนาอื่นๆ ก็ต้องสรรหาบุคคลอื่นไปเชื่อมประสานกับภาคีนั้นๆแทน เพื่อไม่ให้การพัฒนาตำบลหยุดชะงักหรือยู่ในสภาวะถดถอย อันเนื่องมาจากปัญหาด้านการเมืองท้องถิ่น หรือความขัดแย้งด้วยเหตุใดๆก็ตาม
3. มีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นปัจจุบัน และเชื่อถือได้ ในระดับครัวเรือน หมู่บ้าน ตำบล เพื่อใช้สนับสนุนกระบวนการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาและสร้างการเรียนรู้ในทุกระดับ หมายถึง กลไกการพัฒนาตำบลเข้มแข็งมีบุคคลหรือองค์กรภาคีการพัฒนาที่รับผิดชอบด้านการจัดเก็บ การสำรวจ การรวบรวมข้อมูลทุกด้านทั้งพื้นที่ตำบล ทั้งระดับครัวเรือน หมู่บ้าน ตำบล ที่เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และมีระบบการบันทึก การออกรายงาน การประมวลผล โดยระบบคอมพิวเตอร์ได้ในพื้นที่ตำบลเอง และเผยแพร่ให้ทุกฝ่ายในตำบลใช้ข้อมูลนี้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในทุกระดับ เช่น การใช้โปรแกรมบัญชีรับจ่ายครัวเรือน โปรแกรมขอนหาด โปรแกรมจปฐ. โปรแกรมสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นต้น โดยมีการนำข้อมูลสู่กระบวนการจัดการความรู้ อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์ต่องานพัฒนาตำบลอย่างแท้จริง
4. มีแผนแม่บทชุมชนระดับตำบล และสามารถนำแผนไปสู่การปฏิบัติได้จริง
หมายถึง กลไกการพัฒนาตำบลนั้น ได้ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทชุมชนระดับหมู่บ้านและบูรณาการเชื่อมโยงพัฒนาเป็นแผนแม่บทชุมชนระดับตำบล โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในตำบล เกิดเป็นแผนชุมชนระดับตำบลที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ และสามารถนำแผนงานภายใต้แผนแม่บทชุมชนไปสู่การปฏิบัติได้จริง ทั้งในส่วนที่องค์กรชุมชนดำเนินการเอง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำ ให้ภาคีการพัฒนาภายนอกทำ หรือการทำร่วมกันของหลายฝ่าย โดยแผนชุมชนระดับตำบลนั้น มีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันทุกปี
5. มีการถักทอ เชื่อมโยงกิจกรรมของกลุ่ม องค์กร เครือข่าย และภาคีสนับสนุน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งอาชีพหลักของคนส่วนใหญ่ในตำบล
หมายถึง การเชื่อมประสานงานกิจกรรมระหว่างกลุ่ม เครือข่ายองค์กรชุมชน และภาคีทั้งภายใน ภายนอกตำบล เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาอาชีพองคนส่วนใหญ่ในตำบล นำไปสู่ความมั่นคงและความมีเสถียรภาพด้านการประกอบอาชีพทั้งด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด
6. มีกลไกการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาทองถิ่น เพื่อให้มีการพัฒนาที่มีดุลยภาพ มีคุณค่าและยั่งยืนในตำบล หมายถึง กลไกการพัฒนาตำบลเข้มแข็ง ต้องเน้นการพัฒนาที่นำไปสู่การพัฒนาที่มีดุลยภาพในทุกด้านของวิถีชีวิตชุมชน คำนึงถึงความยั่งยืนและคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีกลไก กลุ่ม องค์กร แผนงานโครงการ และวิธีการจัดการงานในประเด็นเหล่านี้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม
7. เกิดกลไกการพัฒนาประชาธิปไตยท้องถิ่น และการเมืองภาคพลเมือง หมายถึงในตำบลที่เข้มแข็งนั้น สามารถจัดการกับความขัดแย้ง ความแตกต่างทางความคิดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะ สภาวการณ์หลังการเลือกตั้งท้องถิ่น หรือการเลือกตั้งในทุกระดับ ไม่ก่อให้เกิดความแตกความสามัคคีของกลุ่มคนในหมู่บ้านและตำบล คนส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะทางการเมืองสูงพอที่จะแยกแยะและยอมรับความต่างทางความคิด ตามวิถีทางของประชาธิปไตย และมีอัตราส่วนการมีส่วนร่วมทางการเลือกตั้ง มีการใช้สิทธิเลือกตั้งในอัตราที่สูง ในการเลือกตั้งทุกระดับ
ทั้ง 7 ประการนี้ เป็นข้อเสนอเรื่องตัวชี้วัดตำบลเข้มแข็ง ในเบื้องต้น ให้ผู้ประสานงานจังหวัดที่เข้าร่วมประชุมจาก 17 จังหวัด ไปตรวจสอบและทดลองใช้วัดสภาวะ “ความเข้มแข็งของตำบล” ในพื้นที่ปฏิบัติการของจังหวัดต่างๆ ต่อไป.
.......................................................
ทำให้ผมเห็นโอกาสใช้ KM เพื่อเสริมขบวนการตำบลเข้มแข็ง โดยใช้เครื่องมือ “ตารางแห่งอิสรภาพตำบลเข้มแข็ง” โดยใช้ตัวชี้วัด ๗ หมวดเป็น “แก่นความรู้เพื่อตำบลเข้มแข็ง” ถ้าได้รับการสนับสนุนการเงิน สคส. น่าจะเข้าไปรับใช้จังหวัดทั้ง ๑๗ จังหวัดนี้ได้ ให้จังหวัดเหล่านี้ พัฒนาไปเป็น “จังหวัดแห่งการเรียนรู้” ที่มี “ตำบลแห่งการเรียนรู้” เต็มทั้งจังหวัด โดยใช้เครื่องมือ KM เน้นที่ตารางแห่งอิสรภาพ
วิจารณ์ พานิช
๑ ธ.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น