อิสลามที่คนไทยพึงเข้าใจ (1)
ประเทศสยามก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นประเทศไทยศาสนาอิสลามก็ได้เข้ามาเผยแพร่มานานนับตามประวัติศาสตร์ก็ตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งปรากฏหลักฐานศิลาจารึกของพ่อขุนราคำแหงมหาราช ในสมัยนั้นเราจะเรียกคนมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามว่า “แขก”
แต่ก็น่าแปลกใจว่าคนไทยโดยทั่วไปกลับรู้จักศาสนาอิสลามน้อยมาก บางครั้งกลับไม่รู้จักเลย ทั้งๆที่คนมุสลิม ได้มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาโดยตลอด โดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีมุสลิมรับราชการกรมท่าขวา ซึ่งก็เทียบเท่านายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน และยังรับใช้ในทุกรัชการของราชวงศ์จักรี คำถามจึงเกิดกับคนมุสลิมเองว่าในเมื่อมุสลิมอยู่คู่กับคนไทยมาช้านานขนาดนี้ แต่ทำไม่คนไทยไม่รู้จักหลักการทางศาสนาอิสลามดีพอ หรือเป็นเพราะว่าคนมุสลิมเคร่งเกินไป หรือไม่ก็อิสลามเข้าถึงยากใช่หรือไม่ บทความต่อไปนี้จะเป็นคำตอบว่าท่านรู้จักอิสลามจริงหรือไม่
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมทุกวันนี้มีความสลับซับซ้อน ต่างคนต่างคิด ต่างวัฒนธรรมต่างความเชื่อ ต้องมาอยู่ร่วมกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีวิธีการใด ที่จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข นอกจากการเรียนรู้เข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่มีอคติต่อกัน พยายามทำความเข้าใจกันอย่างใจที่เป็นธรรม อยู่บนความรู้สึกปรารถนาดีต่อกัน
สังคมไทยเป็นสังคมที่ประกอบขึ้นด้วย คนที่มีความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน เหมือนกับสังคมประเทศอื่นๆโดยทั่วไป โดยมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุด และมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาลำดับต่อมา ตลอดประวัติศาสตร์ ผู้นับถือศาสนาอิสลาม หรือที่เรียกว่ามุสลิม อยู่ร่วมกับพุทธศาสนิกชนได้อย่างปกติสุขมานานแสนนานแล้ว สังคมไทยไม่เคยมีความขัดแย้งทางศาสนา ไม่เคยมีการเบียดเบียนเข่นฆ่ากันในทางศาสนา เป็นสังคมที่เป็นแบบอย่างอันดีให้กับคนทั่วโลก เป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพบนความแตกต่าง
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเข้าใจที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนอยู่เสมอระหว่างคนสองวัฒนธรรมนี้ แม้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข แต่ลึกๆแล้ว แต่ละฝ่ายยังขาดความเข้าใจ ความคิดความเชื่อของผู้อื่น อย่างถูกต้องเพียงพอ หากได้ปลูกฝังการเรียนรู้ที่ผิดๆแล้ว แต่ละฝ่ายก็อาจจะมีอคติแบบดูถูกเหยียดหยามกันอยู่ในใจลึกๆ ซึ่งถึงแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็จะกลายเป็นความสัมพันธ์กันอย่างฉาบฉวยและไม่จริงใจ ในปัจจุบัน มีแนวคิดความเคลื่อนไหว ท่าที หรือความเข้าใจในการมองศาสนาต่างๆกันหลายแบบ เช่น ท่าทีของการยกย่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แล้วเหยียบย่ำดูถูกศาสนาอื่นๆ หรือยกย่องว่าศาสนาทุกศาสนาดีทุกศาสนา แต่มิได้ศรัทธาต่อศาสนาใดๆเลย หรือพยายามชี้ให้เห็นว่าศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน จึงพยายามรวมเป็นศาสนาเดียวกัน และในท้ายที่สุดของการรวมศาสนานี้ กลับกลายเป็นว่ากลุ่มนี้เป็นศาสนาใหม่อีกศาสนาหนึ่ง
วิธีการหรือท่าทีที่ถูกต้องในการเข้าใจศาสนาจึงน่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาว่าศาสนานั้นมีประวัติและคำสอนอย่างไร มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร สิ่งใดบ้างที่เป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนา ด้วยเหตุว่าข้อปฏิบัติบางประการศาสนาหนึ่งทำได้แต่อีกศาสนาหนึ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด เราก็ต้องเข้าใจในการปฏิบัติของศาสนิกนั้นๆ เช่น การกราบมุสลิมจะกราบสิ่งใดไม่ได้นอกพระผู้เป็นเจ้า(อัลเลาะฮ์ ซ.บ.) หรือการไปร่วมงานที่เป็นพิธีกรรมในศาสนา เราต้องเข้าใจก่อนว่า หลักการในศาสนาอิสลามมีกฎข้อหนึ่งซึ่งอิสลามิกชนระมัดระวังมาก คือกฎของการสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม หรือตกศาสนาในทางภาษาเรียกว่า “มุรตัด” สิ่งใดที่ทำให้ตกศาสนาเพื่อนศาสนิกต่างๆก็ต้องเรียนรู้ เช่น การตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า มุรตัด นั้นเป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งก็ต้องเรียนว่าอิสลาม ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ศาสนาเท่านั้นซึ่งถ้าเป็นแค่ศาสนาก็หมายความว่า จะมีแค่พิธีกรรม แต่อิสลามหมายความมากไปกว่าศาสนา มันหมายถึงแนวทางในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย
อิสลามมีความเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ และเชื่อว่ามนุษย์คนแรกของโลกที่ชื่อ อาดัม ก็เป็นศาสนทูตด้วย มนุษย์คนที่สองของโลก พระผู้เป็นเจ้า ได้โคลนิ่งมาจากอาดัมคือนางฮาวา(หรืออีฟ)
อันที่จริงศาสนานั้นเป็นเรื่องสัจธรรม ทั้งสัจจะธรรมของโลกและสัจธรรมของชีวิต สัจจะธรรมนั้นเชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่การจะอธิบายสัจจะธรรม ของแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่ละวัฒนธรรมแตกต่างกัน การใช้ภาษาเรียกและอธิบาย ย่อมมีความแตกต่างกันด้วยเงื่อนไขของกาลเวลา
ระยะห่างระหว่างศาสนาอิสลามกับพุทธศาสนากว่า 1,000 ปี อันนี้หมายถึงระยะห่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.)-(ย่อมาจาก คำว่าซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม-เมื่อกล่าวชื่อท่านจะต้องกล่าวคำสรรเสริญท่านทุกครั้ง) ศาสนาที่ท่านทั้งสองนำมาเผยแพร่จึงต่างกันทั้งเวลา สถานที่ สภาพทางวัฒนธรรม
พระพุทธเจ้าถือกำเนิมาในดินแดนชมพูทวีปมากว่า 2,500 กว่าปี ทรงประสูติในวรรณะกษัตริย์ มีพระนามว่าเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นโอรถของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองแคว้นศากยะ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ตรงกันข้ามกับท่านมุฮัมมัด(ซ.ล.) ถือกำเนิดในเผ่ากุเรช ตระกูลบะนูฮาชิม ซึ่งเป็นตระกูลชั้นสูงตระกูลหนึ่งในเวลานั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.) ถือกำเนิดหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพานแล้วถึง 1,000 กว่าปี เป็นเด็กกำพร้าบิดาตั้งแต่กำเนิด บิดาท่านเสียชีวิตตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เมื่อ 7 ขวบต้องกำพร้ามารดา ต้องอยู่ในอุปการะของปู่ และสุดท้ายต้องมาอยู่กับลุง ซึ่งมีฐานะไม่ดีนัก อาจกล่าวได้ว่าชีวิตท่านต้องต่อสู้ดิ้นรนมาโดยตลอด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่ออายุได้ 35 ปี ในขณะที่ท่านมุฮัมมัด(ซ.ล.) ได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นศาสดาเมื่ออายุ 40 ปี
อิสลามยึดหลักปฏิบัติและการศรัทธาควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตบนโลกนี้
เพื่อกลับไปสู่พระเจ้าในโลกหน้าซึ่งเป็นโลกที่จีรังยั่งยืน
สลามคุณสะตอดอง ขอบคุณมากที่แสดงความเห็น
สลามคุณสะตอดองและสมาชิกที่เข้ามาชมเป้าหมายในการเสนอบทความตรงนี้คือต้องการจะชี้ให้เห็นว่าถ้าทุกศาสนาเหมือนกันก็ไม่ต้องมาคุยกันในเรื่องนี้ เพราะไม่เหมือนกันแต่จะทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนเข้าใจความแตกต่างกันแบบยอมรับซึ่งกันและไม่ดูถูกดูแคลนในความไม่เหมือนกัน ผมคุยเรื่องศาสนาผมไม่เคยทะเลาะหรือเถียงกัน เถียงให้ตายก็ไม่เหมือนกัน ผมในฐานะมุสลิมผมมีหน้าที่ให้ความเข้าใจ ผมจะทำงานกับเพื่อนต่างศาสนิกตลอดมาแบบเข้าใจกัน เริ่มกับ ดร.นิติภูมิ ศ.ดร.อรรถ(พุทธ)บาทหลวงวิชัย อ.ไทยวัฒน์(คาทอลิค)ทำให้ผมทราบปัญหาว่าเพื่อนต่างศาสนิกไม่เข้าใจอิสลามเพราะอะไร ปัจจุบันผมทำรายการวิทยุ รายการเจาะโลกผ่านเลนส์ ทาง มมส.มหาสารคาม 05.30-06.30 น.ผู้ฟังของผมเป็นชาวอีสานพุทธ 100 % ว่างๆจะเขียนให้อ่านในบันทึกใหม่ ขอบคุณมากๆครับ
ทุกศาสนาสอนให้คน เป็นคนดีค่ะ
มีความสุขในทุกๆวัน นะคะ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ
คนไทยทั่วไป (ที่ไม่ใช่อิสลาม) รู้เรื่องอิสลามน้อยจริงๆ
คนไทย รู้เรื่องเพื่อนบ้านน้อยเหมือนกัน
เรื่องพม่า ลาว กัมพูชา มาเลย์ ไม่รู้เรื่องกันเลย
พูดจากันยังต้องใช้ล่าม แถมหายากอีกต่างหาก อิๆๆ
แต่ว่าเราอ่านเรื่องฝรั่ง รู้จักอเมริกา ยุโรป ไม่น้อยเลย
แปลกดีนะครับ